posttoday

รับสร้างบ้านเล็งคนจน

17 สิงหาคม 2561

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เล็งทำบ้านผู้มีรายได้น้อย 1.8 ล้านครอบครัว ชี้ครึ่งปีแรกเซ็กเมนต์ 2.5-5 ล้าน โตมาก

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เล็งทำบ้านผู้มีรายได้น้อย 1.8 ล้านครอบครัว ชี้ครึ่งปีแรกเซ็กเมนต์ 2.5-5 ล้าน โตมาก

นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า สมาคมได้หารือกับการเคหะแห่งชาติเบื้องต้น เพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยการสร้างบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาลที่อยากให้เอกชนเข้ามามีส่วนรวม ซึ่งทางสมาคมจะมีการหารือกับสมาชิกหลังจากได้ความชัดเจน

ทั้งนี้ มองว่าเป็นโอกาสจาก 1.8 ล้านครอบครัวมีความต้องการบ้านในระดับ 2 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ 10% ของจำนวนสมาชิกสามารถรับงานกลุ่มนี้ได้ และหากเป็นโครงการบ้านผู้มีรายได้น้อย 1-1.5 ล้านบาทนั้น อาจต้องดูรายละเอียดเพิ่มแม้จะมีปัจจัยด้านดอกเบี้ยจากแบงก์รัฐพร้อมสนับสนุนก็ตาม

นายวรวุฒิ กาญจนกูล เลขาธิการสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกปีนี้ โดยทางสมาคมมียอดขายอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 8,400 ล้านบาท คาดปีนี้ตลาดรับสร้างบ้านรวมโตขึ้น 15% จากปีที่แล้ว หรืออยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท จากปีที่แล้วอยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท

สำหรับครึ่งปีแรกเซ็กเมนต์ 2.5-5 ล้านบาทมีการเติบโตมากสุด ทั้งในแง่จำนวนยูนิตและมูลค่าโตถึง 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่สัดส่วนการเติบโตของจำนวนยูนิต กลุ่ม 2.5-5 ล้านบาท มี 48% กลุ่ม 5-10 ล้านบาท มี 21% กลุ่มไม่เกิน 2.5 ล้านบาท มี 16% กลุ่ม 10-20 ล้านบาท มี 12% และกลุ่ม 20 ล้านบาทขึ้นไป มี 3%

ขณะที่พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน โดยตลาดต่างจังหวัด รวมทั้งดีเวลอปเปอร์รายเล็กที่เป็นเจ้าของที่ดิน และกลุ่มต่อเติมบ้านหันมาใช้บริการกับบริษัทในสมาคมมากขึ้น ซึ่งโตถึง 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้มองเห็นโอกาสขยายตลาดและเพิ่มส่วนแบ่งรับสร้างบ้าน

ด้าน นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน โฮม กล่าวว่า บริษัทปรับตัวทั้งเรื่องสินค้าให้ทันสมัยสามารถรองรับทุกไลฟ์สไตล์และเพิ่มมูลค่าให้บ้านมากกว่าจะแข่งขันด้านราคา พร้อมทั้งขยายกลุ่มลูกค้าจากเดิมอายุ 45-65 ปี เป็น 35-65 ปี

"บริษัทได้ออกแบบบ้านรวม 12 แบบ 4 สไตล์ ระดับราคา 4-15 ล้านบาท รวมทั้งออกแบบที่สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้ทั้ง 3 รุ่น ซึ่งมองว่าเป็นความท้าทายเพราะในตลาดยังไม่มีสินค้าประเภทนี้" นายมนู กล่าว

นอกจากนี้ ได้ลงทำตลาดออนไลน์ มากขึ้น โดยเพิ่มช่องทางผ่านอินสตาแกรม และทวิตเตอร์ ซึ่งจะเปิดบริการในเดือน ก.ย.นี้ ในปีนี้ได้เพิ่มงบการตลาดเป็น 3.5% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 3% อย่างไรก็ดีอยาก ให้รัฐบาลหามาตรการเพื่อสนับสนุนให้ ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าง่ายขึ้น