posttoday

'อีอีซี'ปลุกกำลังซื้อ ทุนไทย-เทศลุยลงทุน

15 สิงหาคม 2561

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

ชลบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีการเติบโตด้านท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ยิ่งภาครัฐเดินหน้าโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ยิ่งทำให้การพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมไปถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์พัฒนามากขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากกลุ่มทุนใหญ่ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศที่ต่างทุ่มเม็ดเงินลงไปพัฒนา ขณะที่ผู้ประกอบการจากท้องถิ่นเองต่างเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ธีระธัช รัตนกมลพร กรรมการ ผู้จัดการ กลุ่มบริษัท แพน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า บริษัทอสังหาฯ ในท้องถิ่น ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขัน เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการจากส่วนกลางและต่างประเทศต่างเดินเกมรุกตลาดมากขึ้น

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้ คือ การพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่เดินหน้า โครงการอีอีซีที่เน้นพัฒนาใน 10 อุตสาหกรรม จึงทำให้ความต้องการ ที่อยู่อาศัยมีมากขึ้น โดยบริษัทมองเห็นถึงความต้องการแท้ที่จริง จากสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเตรียมแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่รูปแบบมิกซ์ยูส เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยหลากหลายวัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บนที่ดิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื้อที่ 350 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากสนามบินอู่ตะเภา 8 กม.

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรร่วมทุน 2-3 ราย ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มธุรกิจโรงแรม และบริษัทพัฒนาอสังหาฯ จากกรุงเทพฯ มาร่วมพัฒนาโครงการดังกล่าว หากหาพันธมิตรร่วมทุนไม่ได้ ก็มีแผนจะพัฒนาโครงการด้วยทุนของบริษัทเอง

"โครงการนี้เสมือนกับการสร้างเมืองขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางพื้นที่หุบเขา มีทั้งที่อยู่อาศัย บ้านหรูและคอนโดมิเนียม ศูนย์สุขภาพขนาดใหญ่ ศูนย์สัมมนา ศูนย์ปฏิบัติธรรม เพื่อรองรับกับคน ทุกวัยที่จะต้องร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลและเชนโรงแรมขนาดใหญ่ เพื่อร่วมกันทำตลาดไปทั่วโลก เบื้องต้นจะใช้ชื่อโครงการว่า มรรคา วัลเล่ย์" ธีระธัช กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว และเป็นที่ดินของบริษัท หากจะพัฒนาโครงการเองเบื้องต้นจะต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่หากร่วมทุนกับพันธมิตรจะ ทำให้โครงการดังกล่าวมีขนาดโครงการใหญ่ขึ้นและมูลค่าโครงการมากกว่านี้

ฝ่ายวิจัยบริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย สำรวจพบว่า นอกจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายใหญ่จากส่วนกลางที่สนใจพัฒนาโครงการคอนโดที่พัทยาแล้ว ยังมีกลุ่มนักลงทุนจากต่างชาติอีกมากมายที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการ เริ่มจากกลุ่ม นิว นอร์ดิก กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ จากประเทศนอร์เวย์ ที่เข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดในพัทยาตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ที่มีการพัฒนาโครงการคอนโดและโรงแรมบนพื้นที่เขาพระตำหนักแล้วกว่า 50 โครงการ โดยเน้นเทคนิคการขายที่มีการการันตีผลตอบแทนจากการเช่า 10% ถึง 10 ปี ส่งผลให้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากของกลุ่มนักลงทุนจากต่างชาติ

บริษัท โกลบอลท็อป กรุ๊ป ซึ่งเป็น กลุ่มทุนจากอิสราเอลเข้ามาลงทุนในพัทยาตั้งแต่ปี 2548 โดยพัฒนาโครงการคอนโดมาแล้ว 7 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 7,150 ล้านบาท

บริษัท ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทการร่วมทุนอสังหาฯ ของนักธุรกิจชาวอิสราเอลและยุโรป โดยพัฒนาโครงการคอนโดในพัทยาแล้วทั้งหมด 17 โครงการ ตั้งแต่ปี 2549 ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการและขายให้กับลูกค้าต่างชาติตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด โดยมีทั้งโครงการที่หาดจอมเทียน เขาพระตำหนัก พัทยาใต้

บริษัท เมทริกซ์ เรียลเอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นกลุ่มทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโด ในพัทยาตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันพัฒนาโครงการคอนโดในพัทยาแล้ว 6 โครงการ

บริษัท ทิวลิป กรุ๊ป กลุ่มทุนอิสราเอลที่เข้ามาลงทุนและพัฒนาอสังหาฯ โครงการคอนโดและโรงแรมในพัทยา ตั้งแต่ปี 2545 ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดและโรงแรมที่พัทยาแล้ว 10 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1.33 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างการขาย 7 โครงการ

บริษัท ยูนิเวอร์แซล กรุ๊ป กลุ่มทุนด้านพัฒนาอสังหาฯ จากประเทศอินเดีย ปัจจุบันพัฒนาโครงการคอนโดพัทยาแล้ว 4 โครงการ มูลค่าลงทุนเกือบ 1 หมื่นล้านบาท บนทำเลถนนจอมเทียน และนาจอมเทียน บลูสกายกรุ๊ป บริษัทกลุ่มทุนไทยอินเดีย ปัจจุบันลงทุนในพัทยา ตั้งแต่ปี 2555 พัฒนาแล้ว 5 โครงการ มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท

บริษัท เอมิโอ ฮอลลิเดย์ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดตัวโครงการเดอะนัมเบอร์วัน จอมเทียนพัฒนา ทาวเวอร์วัน ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2560 ที่ผ่านมา บนหาดจอมเทียน มูลค่าโครงการกว่า 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่จาก กทม.ที่เข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดจำนวนมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ค่ายแสนสิริ แอล.พี.เอ็น. ศุภาลัย ไรมอนแลนด์ เป็นต้น ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ พัทยา ชลบุรี แข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น รายใดปรับตัวได้รวดเร็วหรือมีฐานลูกค้าในมือจำนวนมากย่อมได้เปรียบ