posttoday

เจเอสพีบุกบ้านแนวราบ เดินหน้าผุด8โครงการ8,000ล้าน เจาะกำลังซื้อกลุ่มเรียลดีมานด์

29 พฤษภาคม 2561

เจ.เอส.พี.ปรับใหญ่หลังได้ผู้ถือหุ้นใหญ่จากธุรกิจโรงสีข้าว เร่งทำตลาดบ้านแนวราบ

เจ.เอส.พี.ปรับใหญ่หลังได้ผู้ถือหุ้นใหญ่จากธุรกิจโรงสีข้าว เร่งทำตลาดบ้านแนวราบ

นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ คือ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล เข้ามาถือหุ้นจำนวน 710 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 16.9% ซึ่งเดิมเป็นนักธุรกิจประกอบธุรกิจโรงสีข้าว จ.ชัยนาท และเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งแผนการดำเนินของบริษัทนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับตลาดบ้านแนวราบกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ เป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง

ขณะเดียวกัน ได้มีการปรับโครงสร้างทางการเงินจากเดิมที่ออกเงินกู้ระยะสั้น เปลี่ยนมาเป็นเงินกู้ระยะยาวเพื่อทำให้ต้นทุนทางการเงินนั้นต่ำลง โดยการขายที่ดินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น การขายที่ดินในทำเลบางเสร่ จ.ชลบุรี จำนวน 11 ไร่ มูลค่าประมาณ 330 ล้านบาท เป็นต้น

สำหรับในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมปีนี้เติบโต 15% หรือ 5,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 4,521 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 4,700 ล้านบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า จำนวน 300 ล้านบาท โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค. 2561) มียอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการ จำนวน 1,800 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอนหรือ แบ็กล็อก มูลค่ารวม 3,100 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบและโครงการคอนโดมิเนียม คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยยอดแบ็กล็อกดังกล่าว บริษัทประเมินว่าน่าจะมียอดปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินประมาณ 30-35% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะลดสัดส่วนของยอดปฏิเสธสินเชื่อให้เหลือประมาณ 20-25% จากไตรมาส 1/2561 มียอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ระดับ 35%

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายรวมปีนี้ไว้ที่ 6,800 ล้านบาท จากในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา มียอดขายแล้วประมาณ 3,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการเดิมที่อยู่ระหว่างการขาย ขณะที่การเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ คาดว่าจะเปิดขายได้ในครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป จำนวน  8 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อโครงการ 800-1,000 ล้านบาท

"บริษัทจะสามารถเปิดตัวโครงการได้ในครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป ซึ่งยังถือว่าอยู่ในช่วงของการขาย รวมทั้งมีการปรับดีไซน์ของโครงการเล็กน้อย จากเดิมเป็นสไตล์อังกฤษมาเป็นบ้านสไตล์ออสเตรีย ที่เจาะกลุ่มลูกค้าอายุ 35-45 ปี และมีการนำนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ ใส่เข้าไป เพื่อให้เป็นบ้านอัจฉริยะ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค" นายไพโรจน์ กล่าว

นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมของต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น จึงทำให้ปีนี้บริษัทจะต้องปรับราคาขายบ้านขึ้น 5-10% ขณะเดียวกันได้ลดงบประมาณในการทำตลาดลงจากเดิม 3% จากยอดขายเหลือ 1% โดยหันมาเน้นการใช้โซเชียล มีเดียเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่เน้นการใช้สื่อประเภทบิลบอร์ดเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ นั้นยังคงแข่งขันกันอย่างรุนแรง จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดนั้นให้ความสำคัญกับการทำตลาดบ้านแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์มากขึ้น เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้ค่อนข้างไว ปัจจุบันบริษัทใช้เวลา 7 เดือน ก็สามารถรับรู้รายได้ได้แล้ว และเป็นกลุ่มเพื่ออยู่อาศัยจริง