posttoday

'แสนสิริ'ลุยพร็อพเทค ผนึกไมโครซอฟท์-เอไอเอสเปิดตัวมิกซ์เรียลิตี้เจาะคนรุ่นใหม่

10 มีนาคม 2561

แสนสิริเดินหน้าขยายฐานลูกค้า นำเทคโนโลยีเอ็มอาร์เสริมทัพการขายทั้งในและต่างประเทศ

แสนสิริเดินหน้าขยายฐานลูกค้า นำเทคโนโลยีเอ็มอาร์เสริมทัพการขายทั้งในและต่างประเทศ

นายทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธาน ผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) และบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เปิดตัวมิกซ์เรียลิตี้ (Mixed Reality : MR) ซึ่งเป็นการรวมจุดเด่นของเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เข้าด้วยกัน

ทั้งนี้ ดิจิทัลแพลตฟอร์มเอ็มอาร์จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค รวมทั้งสร้างความแตกต่างและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกทั้งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญ

ขณะที่จะเป็นครั้งแรกที่จะนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้สำหรับวงอสังหาฯ ในประเทศไทย โดยบริษัทมีแผนจะนำร่องใช้งานห้องตัวอย่างดิจิทัลกับโครงการใหม่รูปแบบใหม่ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมของแสนสิริในเดือน ก.ค. 2561 อย่างน้อย 1 โครงการ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือคนรุ่นใหม่ระดับราคาที่อยู่อาศัยราว 3-5 ล้านบาท แทนการสร้างเซลล์แกลเลอรี่แบบเดิมๆ

นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแล้วยังช่วยลดค่าใช้จ่ายลงประมาณ 30% สำหรับเซลล์แกลเลอรี่ 1 แห่ง ใช้งบลงทุนราว 10 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนจะสร้างฮับแกลเลอรี่ หรือฟูลมิกซ์ที่สามารถดูรายละเอียดได้ทุกโครงการในทีเดียวคาดจะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปีนี้

รวมทั้งยังมีแผนจะขยายการใช้ งานไปยังสำนักงานขายในต่างประเทศที่บริษัทเปิดอยู่ เช่น ฮ่องกง จีน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลิขสิทธิ์ของบริษัทไมโครซอฟท์ด้วย ซึ่งมองว่าการใช้เทคโนโลยีเอ็มอาร์จะช่วยทำให้ลูกค้าที่มีความพร้อมตัดสินใจ ซื้อที่อยู่อาศัยง่ายขึ้นมองว่ามีสัดส่วนถึง  80-90% ของลูกค้าที่มีความพร้อม

อีกทั้งยังคาดว่าสัดส่วนลูกค้าจากประเทศจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเดิมที่ลูกค้าจะดูข้อมูลจากโบรชัวร์ หรือพนักงานขาย ซึ่งการใช้เทคโนโลยีอ็มอาร์จะช่วยให้เขาสัมผัสบรรยากาศ สภาพแวดล้อมรอบข้างได้อย่างสมจริงและสามารถดีไซน์ออกแบบการตกแต่งปรับเปลี่ยนภายในห้องได้ตามความต้องการ เพราะที่ผ่านมาจากการสำรวจพบว่า ปัญหาของผู้ซื้อบ้านหรือคอนโด คือ เรื่องของดีไซน์การตกแต่งห้องไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง คาดว่าปีนี้สัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มราว 30-40%

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นจะมีการพัฒนาฟีเจอร์และการใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทวางงบการวิจัยและการพัฒนา (R&D) ราว 50 ล้านบาท และปีนี้จะเน้นการลงทุนสตาร์ทอัพมากขึ้นสำหรับการร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดนวัตกรรมระหว่างพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรมให้ เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การต่อยอดในระยะยาว เพื่อเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโซลูชั่นและร่วมหาความเป็นไปได้ของนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น