posttoday

"เอสซี" ส่งเซ็นทริค เจาะดีมานด์รัชโยธิน

06 มีนาคม 2561

ทำเล “รัชโยธิน” ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพเนื่องจากมีรถไฟฟ้าพาดผ่านถึง 3 สาย

โดย...อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

ทำเล “รัชโยธิน” ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพเนื่องจากมีรถไฟฟ้าพาดผ่านถึง 3 สาย ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-คูคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างกำหนดเปิดให้บริการแล้วเสร็จ 2563 ขณะที่สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรงคาดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 และสายสีน้ำเงินที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาย่านนี้ถือว่ามีการเติบโตอย่างมากทั้งในแง่ของราคาที่ดินซึ่งมีปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมามีซัพพลายอยู่ประมาณ1 หมื่นยูนิต และทำยอดขายได้ถึง 70% สะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์สูง

ประยงค์ยุทธ อิทธิรัตน์ชัย รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวสูง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นเปิดเผยว่า เพื่อตอบสนองการใช้งานของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่ ล่าสุดได้เปิดโครงการ เซ็นทริค รัชโยธิน มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแรกของปีนี้และการนำแบรนด์เซ็นทริค  รัชโยธิน มาบุกตลาดหลังจากมีการพัฒนาโครงการแบรนด์นี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว

สำหรับโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ ทำเลใกล้ BTS สถานีรัชโยธินเพียง 150 เมตร เป็นอาคารสูง 21 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 24-55 ตารางเมตร (ตร.ม.) จำนวน 261 ยูนิต มีชั้นที่จอดรถ 121 คัน ราคาขายเฉลี่ย 1.65 แสนบาท/ตร.ม. หรือเริ่มต้นที่ 3.7 ล้านบาทขึ้นไป โดยเป็นโครงการแรกที่บริษัทจะเปิดขายผ่านออนไลน์โดยจะเปิดให้จองในวันที่ 6 มี.ค.นี้ จำนวน 50 ยูนิต ซึ่งขณะนี้มีจำนวนผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 2,000 ราย

พร้อมกันนี้จะเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 10-11 มี.ค.นี้ ที่เซ็นทริค รัชโยธิน Sales Gallery โดยผู้จองซื้อในงานรับสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุด 2.5 แสนบาท ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 70% หลังจากนั้นอาจมีการปรับราคาขายอีกครั้ง อย่างไรก็ดีโครงการนี้คาดว่ารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) จะเรียบร้อยประมาณเดือน เม.ย.ปีนี้เนื่องจากผ่านรอบแรกแล้ว ซึ่งบริษัทพร้อมจะก่อสร้างทันทีโดยกำหนดแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2562

ที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ เซ็นทริค มากกว่า 10 โครงการ รวมมูลค่าโครงการมากกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท โดยเน้นการแบบของโครงการที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งด้านการดีไซน์และออกแบบ ยังหมายรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมกับความคุ้มค่าในด้านทำเลที่มีการคมนาคมสะดวกสบาย 

ประยงค์ยุทธ กล่าวว่า สำหรับทำเลรัชโยธินนอกจากจะมีรถไฟฟ้าถึง 3 สายทางแล้ว ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้มีมติอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) ซึ่งเป็นการพัฒนาด้วยระบบขนส่งมวลชน หรือรถไฟฟ้าและระบบทางด่วนบนสายทางเดียวกันโดยเป็นรถไฟฟ้าสาย 11 เข้าสู่แผน M-MAP1 แล้วเช่นกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางแล้ว ยังเพิ่มศักยภาพให้กับโครงการมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาราคาที่ดินในโซนนี้เมื่อ 1-2 ปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณกว่า 5 แสนบาท/ตารางวา (ตร.ว.) แต่ปัจจุบันราคาที่ดินราว 1 ล้านบาท/ตร.ว. ส่วนราคาคอนโดเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมาราคามีการปรับขึ้น 5-10% ต่อปี ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.5-2 แสนบาท/ตร.ม.

สำหรับกลยุทธ์การตลาดนั้นบริษัทจะเน้นช่องทางออนไลน์ 70-80% เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มเจนเก่าและใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 20-40 ปี ซึ่งเห็นว่ากำลังซื้อโซนนี้สูงทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยบริษัทจะนำยูนิตในโครงการบางส่วนขายให้กับลูกค้าต่างชาติไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน ที่สนใจซื้อเพื่อลงทุน

“ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งรวมทั้งความโดดเด่นของโปรดักต์ บริษัทมั่นใจว่าจะมียอดพรีเซล 70%ตามเป้าและจะเป็นอีกโครงการไฮไลต์ที่จะผลักดันให้ยอดขายปีนี้ได้ตามเป้าหมายที่ 1.7 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 11% จากปีก่อน” ประยงค์ยุทธ กล่าว

ด้าน สุรเชษฐ กองชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมส่งผลให้ย่านรัชโยธินเริ่มได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอสังหาฯ มากขึ้น มีการเปิดขายโครงการคอนโดมากมายในปี 2560 เรื่อยมา

สำหรับใน 2561 มีอีกหลายโครงการที่รอการเปิดขาย คาดว่าภายในปีนี้อาจจะมีโครงการคอนโดเปิดขายใหม่ที่อยู่ระยะไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากแยกรัชโยธินราว 1,000 ยูนิต ขณะที่มีโครงการสะสมอยู่ราว 1 หมื่นยูนิต สำหรับราคาขายคอนโดในพื้นที่ในปีที่แล้วเฉลี่ยที่ 1.4-1.5 แสนบาท/ตร.ม. คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอีกในปีนี้