posttoday

‘เอเพ็กซ์’เจาะนักลงทุน ลุยอสังหาเมืองท่องเที่ยว

15 กุมภาพันธ์ 2561

ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งแนวโน้มจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี

โดย...อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งแนวโน้มจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้ จากข้อมูลของบริษัท ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า 30 อันดับแรกที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดเมื่อปี 2560 กรุงเทพมหานคร สามารถครองอันดับ 2 มีจำนวนนักท่องเที่ยวราว 21.25 ล้านคน รองจากอันดับ 1 คือ ฮ่องกง มีจำนวนอยู่ที่ 26.5 ล้านคน ขณะที่ภูเก็ตอยู่อันดับ 11 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยว 10.6 ล้านคน ดังนั้น ที่อยู่อาศัยจึงมีความจำเป็นไม่น้อยกว่าธุรกิจบริการด้านอื่นๆ

พงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า บริษัทผู้พัฒนาโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเน้นในจังหวัดท่องเที่ยว โดยปีนี้มีแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ใน จ.กระบี่และภูเก็ต รวมทั้งพื้นที่กรุงเทพฯ ย่านสุขุมวิท

ทั้งนี้ บริษัทได้ซื้อที่ดินประมาณ 400 ไร่ ทำเลหาดยาว จ.กระบี่ เพื่อพัฒนาโครงการทั้งในส่วนโรงแรม รีสอร์ท และวิลล่า เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มท่องเที่ยวและลงทุน ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับ Club Med (คลับเมด) มีแผนพัฒนารีสอร์ทหรูครบวงจรภายใต้ชื่อคลับเมด กระบี่ โดยโครงการตั้งอยู่ติดชายทะเลยาว 300 เมตร บนพื้นที่โครงการราว 100 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 3,800 ล้านบาท 

สำหรับภายในโครงการประกอบด้วย คลับเมดพรีเมียม รีสอร์ท 2 ชั้น จำนวน 300 ห้องพัก และพูลวิลล่า เรสซิเดนเชียลจำนวน 50 วิลล่า ซึ่งในส่วนของพูลวิลล่าจะพัฒนาเพื่อขายสำหรับลงทุนโดยทางคลับเมดจะเป็นผู้บริการการเช่า ทั้งนี้ ผู้ซื้อจะเข้าแพ็กเกจโปรแกรมโดยจะมีสิทธิได้พักอาศัย 30 วัน/ปี และได้รับผลตอบแทนการเช่าไม่ต่ำกว่า 5% ซึ่งคลับเมดจะการันตีผู้เข้าพัก 80-90% ซึ่งจะทำให้มูลค่าพร็อพเพอร์ตี้เพิ่มขึ้นในอนาคต

ในส่วนของพูลวิลล่าเปิดขายราคา 10-30 ล้านบาท ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 65 ตารางเมตรขึ้นไป จะเริ่มเปิดขายและดำเนินการก่อสร้างในเดือน ก.ย. 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการทั้งโครงการประมาณต้นปี 2564

ส่วนพื้นที่หาดยาวที่เหลืออีก 300 ไร่นั้น บริษัทมีแผนพัฒนาเป็นรีสอร์ทและเรสซิเดนเชียล  ประมาณ 3 โครงการ มูลค่าการลงทุนโครงการละประมาณ 3,500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาหาเชนโรงแรมเบื้องต้นกำหนดไว้คือ ระดับ 4 ดาวครึ่งถึง 5 ดาว โครงการละ 1 เชนเพื่อให้พื้นที่โครงการมีความหลากหลายเพื่อสร้างแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระตุ้นดีมานด์ในพื้นที่ โดยเชนโรงแรมที่สนใจ อาทิ แมริออท อินเตอร์คอนติเนนตัล ฮอลิเดย์ อินน์ เป็นต้น คาดว่าจะได้เชนทั้ง 3 โครงการในปีนี้

ทั้งนี้ ด้วยนโยบายหลักของบริษัทที่มุ่งพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ เกาะติดความเจริญของการท่องเที่ยวไทย จึงได้เสาะแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อย่างเช่น จ.กระบี่ โดยได้มีการสำรวจและมองเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการในบริเวณหาดยาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกระบี่ได้ เนื่องจากทำเลห่างจากสนามบินนานาชาติกระบี่ เพียง 25 กิโลเมตร และหากเดินทางรถยนต์ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที อีกทั้งด้วยความสวยงามของชายหาดและยังไม่มีการพัฒนาใดๆ ดังนั้นบริษัทมีแผนในการลงทุนราว 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุน

‘เอเพ็กซ์’เจาะนักลงทุน ลุยอสังหาเมืองท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาโครงการที่ จ.ภูเก็ต อีก 2 โครงการประกอบด้วย โครงการในทำเลหาดไม้ขาว ติดหาด 200 เมตร บนพื้นที่ราว 14 ไร่ พัฒนาในรูปแบบรีสอร์ทและเรสซิเดนเชียล ขณะนี้อยู่ระหว่างหาเชน ส่วนอีกโครงการอยู่ที่หาดในยาง พื้นที่โครงการราว 20 ไร่ ใกล้ภูเก็ต แมริออท อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดิน  ส่วนโครงการอ่าวปอภูเก็ต (Ao Po) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างและขาย โดยแบ่งเป็นเชอราตัน รีสอร์ท 183 ห้องพัก และเชอราตันเรสซิเดนเชียล 101 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 66 ไร่ มูลค่าการลงทุนรวมราว 3,200 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 70% ทั้งนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการประมาณปี 2563

พร้อมกันนี้ ยังพัฒนาโครงการโฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน พัทยา บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ แบ่งการพัฒนาเป็นโรงแรม 306 ห้องพัก และเรสซิเดนเชียล 347 ยูนิตนั้น จะมีการพัฒนาในส่วนของโรงแรมก่อน คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนเรสซิเดนเชียลอยู่ระหว่างการออกแบบและเจรจากับบริษัทร่วมทุน

สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ มีแผนจะซื้อทั้งตึก อพาร์ตเมนต์ และโรงแรม เพื่อนำมาปรับปรุง เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจาใน 2 แห่งในทำเลพื้นที่สุขุมวิท คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ดีบริษัทกำหนดเปิดตัวพร้อมเปิดขาย 3 โครงการ ในกระบี่และภูเก็ตก่อนในช่วงเดือน ก.ย.นี้ มูลค่ารวมราว 9,800 ล้านบาท

พงษ์พันธ์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อพัฒนาโครงการเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงโดยรูปแบบจะพัฒนาเป็นรายโปรเจกต์สัดส่วน 51:49 โดยบริษัทร่วมทุนที่จะเข้ามาต้องมีศักยภาพพร้อมทั้งฐานลูกค้า ซึ่งเบื้องต้นมีทั้งฮ่องกง ญี่ปุ่น และจีน เข้ามาเจรจาคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ รวมทั้งมีแผนออกหุ้นกู้เพิ่มทุนอีก 500 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี บริษัทได้ประมาณการมูลค่าโครงการทั้งหมดช่วง 4 ปี (2561-2564) อยู่ที่ราว 2.3 หมื่นล้านบาท และยังมองว่ากำลังซื้อเพื่อการลงทุนยังดีจากนักลงทุนเพราะมองว่าได้ผลตอบแทนดีกว่าไปลงทุนทรัพย์สินประเภทอื่นโดยเฉพาะฝากเงินกับธนาคาร