posttoday

แอล.พี.เอ็น.รุกบ้านหรู ปีหน้าเล็งเปิดบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์15-30ล้าน

23 สิงหาคม 2560

แอล.พี.เอ็น.ลุย รุกตลาดเซ็กเมนต์บน จ่อเปิดโครงการพรีเมียมแนวราบมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านในต้นปีหน้า ขณะที่รายได้-ยอดขายปีนี้ต่ำกว่าเป้า

แอล.พี.เอ็น.ลุย รุกตลาดเซ็กเมนต์บน จ่อเปิดโครงการพรีเมียมแนวราบมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านในต้นปีหน้า ขณะที่รายได้-ยอดขายปีนี้ต่ำกว่าเป้า

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า แผนในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ จำนวนรวม 1,500 ยูนิต มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ใน 3 ทำเลประกอบด้วย พหลโยธิน 32 ราคาขายราว 1.3-1.4 แสนบาท/ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งจะเปิดตัวในเดือน ก.ย.นี้

สำหรับอีก 2 โครงการอยู่บนทำเลพระราม 3-วงแหวน สาธุประดิษฐ์ จะเปิดตัวใน พ.ย.ปีนี้ จากที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวไปแล้ว 7 โครงการมูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้จะเปิดโครงการในปีนี้จำนวน 10-12 โครงการมูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี โดยใช้งบในปีนี้และปีหน้ารวมประมาณ 30-50 ล้านบาท เพื่อขยายเซ็กเมนต์ในกลุ่มระดับบนมากขึ้น เป็นกลุ่ม B+ ถึง A- ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการระดับราคาขายตั้งแต่ 1.2 แสนบาท/ตร.ม.ขึ้นไป โดยในกลุ่ม B+ จะพัฒนาภายใต้แบรนด์ลุมพินีสวีทและลุมพินีเพลส นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาคอนโดระดับกลุ่ม A- ราคาขาย 1.5 แสนบาท/ตร.ม.ขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ใหม่ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้า

ขณะที่ ในต้นปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการพรีเมียม ในย่านพระราม 3-วงแหวน บนพื้นที่โครงการกว่า 24 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 30 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ ราคา 15 ล้านบาท จำนวนรวมกว่า 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าด้วยศักยภาพทำเล ราคา และรูปแบบดีไซน์อีกทั้งบริษัทมีฐานลูกค้าในโซนนี้อยู่มากเชื่อว่า จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดี 

อย่างไรก็ดี บริษัทอยู่ระหว่างซื้อที่ดินเพิ่มจำนวน 5 แปลง มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว 1 แปลง โดยปีนี้วางงบซื้อที่ดินที่ 3,500 ล้านบาท ยังเหลือราว 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการซื้อมาแล้วพัฒนาเลยไม่เก็บเป็นแลนด์แบงก์ 

ทั้งนี้ การที่จะมีกฎหมายใหม่ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งภาษีลาภลอยที่ออกมาบังคับใช้เชื่อว่าเป็นโอกาสต่อการพัฒนาสำหรับดีเวลอปเปอร์มากขึ้น เพราะซัพพลายที่ดินมีมากขึ้นโดยจะมีที่ดินแปลงใหญ่ในเมืองทำเลต่างๆ ออกมาขายให้เห็น ซึ่งผู้ประกอบการมีอำนาจการต่อรองมากขึ้นแต่ราคาจะไม่ต่ำไปกว่าในปัจจุบัน

นายโอภาส กล่าวอีกว่า ปีนี้และปีหน้ายอมรับว่ายังคงเหนื่อย แม้บริษัทจะมีการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับสภาวะตลาดเพราะตลาดล่างที่เป็นกลุ่มที่สำคัญยังมีปัญหาด้านหนี้สินครัวเรือน ทำให้บริษัทกลับมาพัฒนาโครงการในเมืองมากขึ้น โดยยังคงเร่งระบายสต๊อกที่เป็นสินค้าพร้อมอยู่โดยปัจจุบันเหลืออยู่ราว 7,000 ยูนิต จากเมื่อต้นปีที่มีอยู่กว่า 1.3 หมื่นยูนิต รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเดือน ก.ย.และ พ.ย.นี้

ขณะที่ยอดปฏิเสธมีเพียง 10-13% เท่านั้น ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทจะมีรายได้รวมกว่า 9,000 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้ 1 หมื่นบาท โดยเป็นรายได้จากการขายอสังหาฯ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบรวมเกือบ 9,000 ล้านบาท และรายได้จากเซอร์วิส-บริหารชุมชนอีก 500 ล้านบาท ส่วนยอดขายปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้ทำได้แล้ว 1.1 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีนี้คาดว่าจะเติบโตราว 5% โดยตลาดคอนโดจะเป็นกลุ่มกลาง-บน ขณะที่การแข่งขันในตลาดยังสูง