posttoday

เจ.เอส.พี.ชะลอคอนโด

17 มิถุนายน 2560

เจ.เอส.พี.ปรับใหญ่ชะลอลงทุนคอนโด หันรุกบ้านแนวราบ ลดเสี่ยงโอเวอร์ซัพพลาย-แบงก์เข้มปล่อยกู้ ตั้งเป้า 5 ปี โตต่อเนื่องปีละ 20%

เจ.เอส.พี.ปรับใหญ่ชะลอลงทุนคอนโด หันรุกบ้านแนวราบ ลดเสี่ยงโอเวอร์ซัพพลาย-แบงก์เข้มปล่อยกู้ ตั้งเป้า 5 ปี โตต่อเนื่องปีละ 20%

นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า บริษัทได้ทยอยปรับแผนธุรกิจใหม่ โดยหันมารุกโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากต้องการลดความเสี่ยงการดำเนินงาน อีกทั้งซัพพลายของคอนโดมิเนียม เริ่มล้นตลาดในหลายทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ประกอบกับตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินนั้นยังมีอยู่สูง เฉลี่ยอยู่ที่ 20% และใช้เวลาพัฒนากว่าจะส่งมอบนาน 2 ปี ส่วนโครงการแนวราบใช้เวลาพัฒนาและส่งมอบระยะเวลานาน 3 เดือน

สำหรับโครงการที่บริษัทได้ปรับแผน การดำเนินงาน คือ โครงการไมอามี่ คอนโด บางปู ที่เดิมวางแผนจะพัฒนาจำนวน 5,000 ยูนิต แต่เมื่อพิจารณาจากภาพรวมและสถานการณ์ในตลาดคอนโดที่มีปัญหา บริษัทจึงได้ปรับแผนชะลอการพัฒนาเหลือ 3,300  ยูนิต หยุดทำการตลาดไป 1,700 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นราคาขายต่ำกว่า 1 ล้านบาท/ยูนิต และโครงการเจ คอนโด สาทร-กัลปพฤกษ์ จากเดิม 25 ชั้น 1 อาคาร และ 16 ชั้น 6 อาคาร รวม 2,821 ยูนิต ปัจจุบันได้พัฒนาเฉพาะอาคาร 25 ชั้น 1 อาคารกว่า 1,000 ยูนิต ราคา 1.2-2 ล้านบาทปัจจุบันมียอดขาย 50% ส่วนพื้นที่บริเวณที่เหลือจะพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ

ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์ยังไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากคอนโดยังมีสัดส่วนน้อยในพอร์ตโฟลิโอ หรือ 20-25% เมื่อเทียบกับสัดส่วนหลักที่มาจากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีสัดส่วน 75-80% ขณะเดียวกันบริษัทเริ่มประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น โดยมีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 5 ในตลาดทาวน์เฮาส์ระดับราคา 3-5 ล้านบาท/ยูนิต และส่วนแบ่งเป็นอันดับ 7 ในเซ็กเมนต์ทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท/ยูนิต เป็นต้น

สำหรับแผนงาน 5 ปีนี้ บริษัทได้วางเป้าหมายอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% หรือประมาณการรับรู้รายได้อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 ส่วนในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายรับรู้รายได้รวมไว้กว่า 5,000 ล้าน จากปีก่อนอยู่ที่กว่า 3,000 ล้านบาท โดยภาพรวมช่วงไตรมาสแรกทำได้แล้ว 1,000 ล้านบาทและในไตรมาส 2 ตั้งเป้าหมายไว้ประมาณ 1,100 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีโครงการรอรับรู้รายได้ หรือแบ็กล็อกอยู่ที่ 3,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่จะโอนในปีนี้ 2,900 ล้านบาท และที่เหลือจะโอนในปีหน้า ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าผู้ประกอบการจะหันมาเล่นตลาดบ้านที่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท/ยูนิตมากขึ้น เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการซื้ออยู่อาศัยจริง