posttoday

‘อภิชัย เตชะอุบล’ กระจายเสี่ยง 3 ขาธุรกิจ

30 มกราคม 2562

เรื่อง โชคชัย สีนิลแท้

เรื่อง โชคชัย สีนิลแท้

ถือเป็นการกลับมาอีกครั้ง สำหรับแมวเก้าชีวิต อภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) ที่ได้เปลี่ยนชื่อจากเดิม บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม หรือทีเอฟดี พลิกฟื้นธุรกิจจนเริ่มมีกำไร

ปัจจุบันธุรกิจของบริษัทแบ่งเป็น 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล ประกอบธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปหรือแวร์เฮาส์ ในนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ ดำเนินธุรกิจอาหารเป็นหลัก ประกอบด้วยแบรนด์ฮอทพอท ไดโดมอน ร้านอาหารจีน Zheng Dou ร้านอาหารอิตาเลียน Signor Sassi และบริษัท เจซี เควิน ดีเวลลอปเม้นท์ ดูแลธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานให้เช่า ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว โดยจะเน้นทำเลในกรุงเทพฯ กลางเมืองเป็นหลัก

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อกิจการหรือเทกโอเวอร์โรงแรมนิกโก้ รัชดา หรือโรงแรมอโยธยา ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 10 ไร่ ใช้เงินลงทุนมูลค่า 4,000 ล้านบาท เตรียมมาพัฒนาเป็นโรงแรมใหม่ ในนามบริษัท เจซีเค รัชดา โฮเต็ล ซึ่งบริษัทถือหุ้น 75% ขณะที่กองทุนต่างชาติ ชื่อ Bain Capital ถือหุ้นสัดส่วน 25% โรงแรมดังกล่าวเดิมมีจำนวน 650 ห้อง และมีห้องฟังก์ชั่นรูมขนาดใหญ่ที่จุคนได้ 1,200 คน เบื้องต้นคาดว่าจะปรับปรุงแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับเชนโรงแรมที่จะเข้ามารับบริหาร 2 แห่ง คือ ไฮแอท รีเจนซี่ กับฮิลตัน เบื้องต้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงกลางเดือน ก.พ.นี้

สำหรับอัตราค่าพักคาดว่าจะอยู่ที่ 5,000-6,000 บาท/คืน โดยคาดว่าภายหลังจากเปิดให้บริการแล้วมูลค่าขึ้นไปสูงถึง 8,000 ล้านบาท

“ธุรกิจโรงแรมนั้นไปได้ดีจะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ขณะที่ภาครัฐได้เดินหน้าขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ยิ่งทำให้โรงแรมมีความต้องการมากขึ้น คาดว่าอัตราค่าเข้าพักโรงแรมจะสามารถขยับราคาเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะขยับขึ้นได้อีก 15-20%” อภิชัย กล่าว

ขณะเดียวกัน เตรียมเปิดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 จำนวน 850 ไร่ หลังได้ปรับสีผังเมืองจากสีเขียวเป็นสีม่วงเมื่อปลายปีที่ผ่านมาหลังรอมานานกว่า 3 ปี โดยริษัทตั้งเป้าปิดการขายภายใน 2 ปี หลังจากนั้นจะเปิดขายในเฟส 3 เนื้อที่ 1,800 ไร่ ซึ่งปัจจุบันยังมีนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชาวจีน ส่วนหนึ่งมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้ไทยเป็นที่สนใจ ขณะที่นักลงทุนจากญี่ปุ่นชะลอลง

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขายโรงงานสำเร็จรูปหรือแวร์เฮาส์ที่ประเทศอังกฤษจำนวน 2 แห่ง โดยแห่งแรกสามารถขายไปได้แล้วมูลค่า 7 ล้านปอนด์ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างเจรจาขายอีก 1 แห่ง มูลค่า 19 ล้านปอนด์ กำหนดโอนภายไตรมาสแรกของปี 2562

อภิชัย กล่าวถึงการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ คาดว่าจะชะลอออกไปก่อนเนื่องจากตลาดไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เพราะอยู่ในภาวะที่ล้นตลาด โดยบริษัทจะหันไปลงทุนโครงการแนวราบ โดยโครงการแรกเป็นทาวน์โฮมและบ้านแฝด ภายใต้ชื่อ ดิ โอโซน อ่อนนุช-ลาดกระบัง บนพื้นที่ 68 ไร่ จำนวน 663 ยูนิต ราคา 4 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส เฟสแรกจำนวน 300 ยูนิต โดยจะเปิดขายในไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายในปีแรก 600-700 ล้านบาท โครงการดังกล่าวจะเน้นกลุ่มคนทำงานอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่แต่งงานหรือกำลังเริ่มสร้างครอบครัว โดยเป็นโครงการแนวราบที่อยู่ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า

ปัจจุบันบริษัทมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 2 โครงการ ภายในโรงแรมอนันตรา สาทร จำนวนกว่า 100 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยเปิดขายราคาเฉลี่ย 1.2 แสนบาท/ตารางเมตร ตั้งเป้าว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2562 และยังมีโครงการร่วมทุน
กับกลุ่มคันทรี่ การ์เด้นจากฮ่องกงที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการอาร์ติซาน รัชดา ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2562 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวมียอดจองกว่า 50%

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาที่ดินเปล่าติดโรงแรมอนันตรา สาทร ซึ่งมีเนื้อที่ 4 ไร่ โดยอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะพัฒนาเป็นโครงการลักษณะใดที่จะคุ้มค่ากับการลงทุนมากที่สุด เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า หรือห้องพักเพื่อเป็นส่วนต่อขยายของธุรกิจโรงแรมเดิม

“ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลการดำเนินงานกำไรเป็นปีแรก โดยมีกำไร 1,000 ล้านบาท และมีรายได้ 3,500 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่เป็นกำไร” อภิชัย กล่าว

ขณะที่สิ่งต้องการให้รัฐบาลในชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศเร่งผลักดัน คือการเดินหน้าโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะดึงดูดเม็ดเงินมหาศาล ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามามากยิ่งขึ้น