posttoday

"จีเอเบิล"ส่งแอพ บุกตลาดพื้นที่เช่า

27 สิงหาคม 2561

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้มีการเติบโตอย่างมาก ไม่ใช่แค่โครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่จะเริ่มเห็นการเกิดขึ้นของโครงการมิกซ์ยูสซึ่งรวมพื้นที่อาคารสำนักงานและการค้าปลีกมาไว้ภายในโครงการ 

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้มีการเติบโตอย่างมาก ไม่ใช่แค่โครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่จะเริ่มเห็นการเกิดขึ้นของโครงการมิกซ์ยูสซึ่งรวมพื้นที่อาคารสำนักงานและการค้าปลีกมาไว้ภายในโครงการ 

*******************************

โดย...อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดำเนินธุรกิจต่างๆ ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งภายในองค์กรธุรกิจเอง จำเป็นต้องปรับตัวไม่ว่าเป็นกระบวนการคิดและวิธีการในการบริหารจัดการใหม่เพื่อให้ทันและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและรวดเร็วของลูกค้า

ทั้งนี้ การนำโซลูชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจ ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันจึงเป็นกลไกสำคัญประการหนึ่ง

ปาจรีย์ แสงคำ ประธานบริหาร กลุ่มงานโซลูชั่นและเทคโนโลยี บริษัท จีเอเบิล เปิดเผยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้มีการเติบโตอย่างมาก ไม่ใช่แค่โครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่จะเริ่มเห็นการเกิดขึ้นของโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งรวมเอาพื้นที่อาคารสำนักงานและการค้าปลีกมาไว้ภายในโครงการ โดยจะมีโปรเจกต์ขนาดใหญ่ทยอยออกสู่ตลาดในช่วง 5 ปีจากนี้

สำหรับบริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างครบวงจรมาเกือบ 30 ปี ได้มีการพัฒนาโปรดักต์อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมีการพัฒนา SPACE ระบบคลาวด์แอพพลิเคชั่น สำหรับบริหารจัดการพื้นที่เช่า ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวางผังพื้นที่ การทำสัญญาจองและสัญญาเช่า คำนวณค่าสาธารณูปโภค การออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินต่างๆ โดยระบบจะมีการตรวจสอบสถานะของพื้นที่เช่าเพื่อป้องกันการทำสัญญาซ้ำซ้อน

อีกทั้งยังรวบรวมสัญญาเช่าและสัญญาเพิ่มเติมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เช่าเดียวกัน และช่วยในการจัดการค่าสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมค่าใช้จ่ายของผู้เช่า ในขณะเดียวกันระบบยังช่วยลดขั้นตอนการออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินที่เป็นภาระของแผนกบัญชีเพิ่มความสะดวกสบายในการบริหารพื้นที่เช่า ใช้งานง่ายด้วยฟังก์ชั่นตรวจสอบข้อมูลของพื้นที่แบบเรียลไทม์ตามแผนผังพื้นที่

ที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าของบริษัท จีเอเบิล จะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ทั้งในภาครัฐและเอกชนมีสัดส่วนถึง 80% โดยจะเน้นเรื่องของดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่พร้อมช่วยธุรกิจองค์กรเปลี่ยนผ่านด้วยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรับธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ไม่ซับซ้อน และคนไทยกว่า 65 ล้านคน ใช้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อม

อย่างไรก็ดี ด้วยการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาฯ ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยได้มีการปรับตัวโปรดักต์ให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับธุรกิจขนาดกลางและเล็กให้สามารถเข้าถึงการบริการได้มากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายคุ้มค่าเหมาะสม

สำหรับระยะแรกทางบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าและในโครงการมิกซ์ยูสที่มีเรื่องของไลฟ์สไตล์เข้ามาเกี่ยวข้อง ระยะต่อไปคือกลุ่มออฟฟิศและร้านค้าที่มีสาขาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทจะมีการต่อยอดโซลูชั่นในการให้บริการที่มากขึ้น ซึ่งนอกจากการบริหารจัดการพื้นที่แล้ว ยังสามารถบริหารจัดการบุคคลในพื้นที่ได้ด้วย เช่น บริษัทที่มีหลายสาขาเดิมจะมีผู้ถือกุญแจสำหรับเปิด-ปิดสาขาคนเดียว เมื่อผู้ถือกุญแจหยุดกะทันหันก็จะเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อสาขานั้น SPACE จะเข้ามาบริหารจัดการตั้งแต่เช็กอิน ดูเรื่องของกำลังคน มีระบบดิจิทัลคีย์สำหรับเปิด-ปิดสาขา พร้อมประมวลผล ฯลฯ ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันที ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ราว 10 ราย คอมเพล็กซ์ 3 ราย และคอมมูนิตี้มอลล์ 7 ราย

ด้านอัตราค่าบริการนั้น บริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ส่วนมากจะติดตั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่สำนักงานใหญ่ โดยมีทีมงานของบริษัทเหล่านั้นเป็นผู้ควบคุม การลงทุนขึ้นอยู่กับขนาดยูสเซอร์และพื้นที่ ราคาเริ่มที่ 5-30 ล้านบาท

ส่วนบริษัทขนาดเล็กสามารถใช้บริการระบบคลาวด์ผ่านเว็บไซต์ของบริษัท ซึ่งจะคิดค่าบริการเป็นรายเดือนตามพื้นที่ที่ใช้งานจริง เช่น พื้นที่เดียวกันแต่การทำกิจกรรมต่างกันในแต่ละวัน ดังนั้นค่าเช่าจะคิดต่างกัน เป็นต้น

ในส่วนของการแข่งขันในตลาดนั้น พบว่าการให้บริการโซลูชั่นของผู้ประกอบการรายอื่นๆ ไม่ครอบคลุมเป็นโซลูชั่นเฉพาะเรื่องๆ ไป แตกต่างจากของจีเอเบิลที่เชื่อมโยงเป็นระบบ นอกจากนี้ด้วยจุดแข็งของบริษัทที่ให้บริการองค์กรขนาดใหญ่มายาวนานมีการพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่ทันสมัย สามารถรองรับขนาดและจำนวนได้ทุกระดับองค์กร รวมไปถึงเรื่องของความปลอดภัย
เชื่อว่าจะสามารถแข่งขันในตลาดได้

“บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและการพัฒนาโปรดักต์ (R&D) ต่อเนื่อง รวมทั้งมีการลงทุนเรื่องของบิ๊กดาต้า ซึ่งปี 2560 ใช้งบลงทุนราว 100 ล้านบาท ปี 2561 จะมีการลงทุนเรื่องของไอโอที (Internet of Things) ในเบื้องต้นลงทุนแล้วประมาณ 30 ล้านบาท ทั้งนี้จะมีการประกาศแผนเรื่องนี้ในเร็วๆ นี้” ปาจรีย์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจไปในประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จากการขยายธุรกิจของกลุ่มลูกค้าบริษัทที่จะมีการไปเปิดสาขาในต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีหลังปี 2561 บริษัทจะรุกตลาดมากขึ้นเน้นการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้น ซึ่งปีนี้ทั้งกลุ่มจะใช้งบ 30 ล้านบาททำตลาดผ่านออนไลน์ พร้อมกันนี้กลุ่มงานโซลูชั่นฯ ตั้งเป้าปีนี้จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว โดยสัดส่วนลูกค้ามาจากโครงการมิกซ์ยูส 60% คอมมูนิตี้และค้าปลีก 30% และบริษัทที่มีหลายสาขา 10%

ขณะที่ในอีก 3 ปีบริษัทจะสร้างพอร์ตให้มีความสมดุล โดยสัดส่วนจะเป็นมิกซ์ยูส 40% คอมมูนิตี้และค้าปลีก 30% และบริษัทที่มีหลายสาขา 30% ทั้งนี้มองว่าการใช้โซลูชั่นเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแล้ว ยังทำให้รายได้เพิ่มขึ้นราว 10-20%