posttoday

เฟอร์นิเจอร์ลุยออนไลน์ ลุ้นหลังไตรมาสแรก เริ่มดี

12 เมษายน 2561

ตลาดเฟอร์นิเจอร์ถือเป็นสินค้าสำหรับการตกแต่งบ้านที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้มีการออกแบบให้สอดรับการอยู่อาศัยไม่ว่าจะรูปแบบคอนโดมิเนียมหรือบ้านแนวราบ

โดย...อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

ตลาดเฟอร์นิเจอร์ถือเป็นสินค้าสำหรับการตกแต่งบ้านที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้มีการออกแบบให้สอดรับการอยู่อาศัยไม่ว่าจะรูปแบบคอนโดมิเนียมหรือบ้านแนวราบ แน่นอนว่า การเติบโตของตลาดเฟอร์นิเจอร์ย่อมต้องล้อไปตามการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ 

นัยธาดา นันทน์วิธู กรรมการบริหาร บริษัท ทีมเฟอร์น (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์ทั้งในประเทศและส่งออกช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 มีอัตราการเติบโตติดลบเล็กน้อยเนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และบางประเทศยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของนโยบายด้านภาษีเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าเช่น สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ขณะที่กำลังซื้อในประเทศยังมีไม่มาก เพราะภาคอสังหาฯ ขยายตัวไม่ได้มากนัก 

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2 ตลาดในประเทศน่าจะดีขึ้นจากการขยายตัวของภาคอสังหาฯ ที่เริ่มมีการโอนมากขึ้น ทำให้คาดว่าตลาดเฟอร์นิเจอร์ปีนี้ โดยรวมน่าจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ โดยมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ซึ่งอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท

ขณะที่มูลค่าเฟอร์นิเจอร์ในประเทศไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2560 ซึ่งมีประมาณ 8 หมื่นล้านบาท  อย่างไรก็ดียังต้องติดตามความชัดเจนด้านภาษีของสหรัฐอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของบริษัท ผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกปี 2561 แบรนด์เซเดอร์เร่ สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 320 ล้านบาท พลาดเป้าเล็กน้อย เนื่องจากทางประเทศจีนมีการเข้มงวดด้านการเงินทำให้แผนการลงทุนการเปิดการสาขาเพิ่มของพาร์ตเนอร์จีนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 2 บริษัทมีแผนจะรุกตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งได้มีการจับมือกับพาร์ตเนอร์ทางสิงคโปร์ในการพัฒนาแพลตฟอร์มรูปแบบเดียวกันที่จะให้บริการในทุกประเทศทั่วโลก เพื่อจะช่วยเหลือในการขยายฐานลูกค้าให้กับร้านยี่ปั๊วที่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาลูกค้าเดินเข้าร้านลดลง ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของ
ผู้บริโภคในต่างประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ จะเริ่มมีการออนไลน์เทรนนิ่ง ก่อน จากนั้นจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทมีร้านยี่ปั๊วที่รับสินค้าของเซเดอร์เร่อยู่ราว 600-700 ร้านค้าทั่วโลก โดยประเทศญี่ปุ่นมากสุด รองลงมาคือออสเตรเลีย และเกาหลีใต้

นัยธาดา กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วมงาน Style ปี 2561 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์มิติใหม่ ซึ่งมีทั้งงานแสดงสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง งานแสดงสินค้าของขวัญ งานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน และงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ เข้าไว้ในงานเดียวกัน ทำให้ผู้ชื้อสามารถเจรจากับผู้ประกอบการโดยตรง 

สำหรับปีนี้บริษัทได้นำเก้าอี้หนังปรับนอน 3 คอลเลกชั่นใหม่ สไตล์แปลกใหม่เหมาะกับทุกสรีระ มาแสดงในงาน Style เป็นครั้งแรก ประกอบด้วย 1.เก้าอี้หนังปรับนอน รุ่น Torino เป็นเก้าอี้หนังปรับนอนที่เหมาะกับคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่  2.เก้าอี้หนังปรับนอน รุ่น Davino ออกแบบมาเฉพาะคนที่มีรูปร่างผอมบางและตัวเล็ก 3.เก้าอี้หนังปรับนอน รุ่น Ziloni ดีไซน์ออกมาเพื่อคนมีรูปร่างผอมสูง และคนที่มีปัญหาเรื่องต้นคอ นอกจากนี้ยังนำหนังคอลเลกชั่นใหม่ที่นำเข้ามาจากประเทศอิตาลีทั้งสองสีร่วมแสดงในงานอีกด้วย

พร้อมกันนี้คาดว่าจะมีคนเข้าชมสินค้าใหม่ของเซเดอร์เร่ในงานนี้ จำนวนวันละ 1,500 คน ตั้งเป้ายอดขาย 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งตลอดระยะเวลาการจัดงานมีผู้เข้าร่วมชมสินค้ากว่า 1 หมื่นคน และสามารถทำยอดขายได้ถึง 8 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ประมาณ 950 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ซึ่งทำได้ 920 ล้านบาท

ด้าน พิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า ตลาดเฟอร์นิเจอร์ปีนี้มีโอกาสโตเนื่องจากโครงการที่อยู่อาศัยเริ่มทยอยโอน ขณะที่กำลังซื้อและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเร็วขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่จะเลือกซื้อเป็นชิ้นมากขึ้นแทนการซื้อแบบครบเซต คาดว่าตลาดรวมปีนี้น่าจะเติบโตได้กว่า 10%

นอกจากนี้ การที่ตลาดเฟอร์นิเจอร์มีการเติบโตมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดออนไลน์มีการขยายตัวต่อเนื่องด้วยตัวเลขสองหลัก และเชื่อว่า 3-4 ปีข้างหน้าจะมีอัตราการเติบโตมากขึ้นโดยเฉพาะเซ็กเมนต์กลางและล่างที่เป็นผลมาจากการที่มีแอพพลิเคชั่นซื้อขายที่หลากหลาย ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่

ทั้งนี้ ในส่วนของเอสบี เฟอร์นิเจอร์ ในช่วงไตรมาสแรกมีการเติบโตด้วยตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแผนเปิดเอสบีดีไซน์สแควร์ ขนาดพื้นที่ประมาณ 1 หมื่นตารางเมตรในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ

สำหรับรายได้หลักยังเป็นกลุ่มลูกค้ารายย่อยมีสัดส่วน 70-80% ที่เหลือเป็นรายได้จากการส่งออก ลูกค้าโครงการ และต่างจังหวัด ทั้งนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับการทำตลาดในประเทศมากกว่าส่งออก เพราะเป็นการขยายสินค้าบวกการบริการและมองว่าตลาดในประเทศยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก/ปี