posttoday

"เมเจอร์" ผนึกทุนสิงคโปร์ ลงขันลุยต่อคอนโดหรู

24 มกราคม 2561

ตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในทำเลกลางเมือง

โดย...อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

ตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในทำเลกลางเมืองไม่ว่าจะเป็นหลังสวน ชิดลม เพลินจิต และวิทยุ ปัจจุบันจะหาที่ดินแปลงใหญ่ที่ได้ขายขาด หรือฟรีโฮลด์ ยากเต็มที ส่วนใหญ่เป็นการเช่า หรือลิสต์โฮลด์ อีกทั้งที่ดินแต่ละแปลงใช่ว่าจะมีศักยภาพเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดได้ จึงทำให้ราคาคอนโดที่เปิดขายในปัจจุบันขยับขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท/ตารางเมตร (ตร.ม.)

ล่าสุด บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้มีการลงทุนกับจีเอ็มเอ็มสิงคโปร์เรียลเอสเตท พีทีอี และมัสท์อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้งพีทีอี สองกลุ่มนักลงทุนจากสิงคโปร์ พัฒนาโครงการคอนโดเตรียมเปิด มิวนีค หลังสวน ซึ่งเป็นโครงการคอนโดฟรีโฮลด์ ดำเนินการภายใต้บริษัท เอ็มเจดี-เจวีวัน โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนโครงการที่ 3 ต่อจากโครงการ มิวนีค สุขุมวิท 23 และโครงการมาร์คสุขุมวิท

"เมเจอร์" ผนึกทุนสิงคโปร์ ลงขันลุยต่อคอนโดหรู

สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ซื้อที่ดินสุดถนนหลังสวน ซอย 7 ในซอยต้นสน เมื่อกลางปี 2560 ในราคา 2.1 ล้านบาท/ตารางวา (ตร.ว.) เพื่อพัฒนาโครงการบนที่ดินฟรีโฮลด์ เนื่องจากที่ผ่านมาโครงการที่พัฒนาบนถนนเส้นนี้ส่วนใหญ่จะอยู่บนที่ดินเช่า ซึ่งที่ดินมีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ราคาที่ดินบนทำเลหลังสวนมีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ปัจจุบันราคาที่ดินของกรมธนารักษ์รอบบัญชี ปี 2559-2562 อยู่ที่ 5 แสนบาท/ตร.ว.

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมขายโครงการ มิวนีค หลังสวน มูลค่า 4,085 ล้านบาท อย่างเป็นทางการในวันที่ 10-11 ก.พ. 2561 มีขนาด 1-1- 66.5 ไร่ สูง 28 ชั้น จำนวน 166 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 50-179 ตร.ม. นอกจากนี้ยังมียูนิตพิเศษเดอะคอลเลกชั่นที่มีขนาดพื้นที่ 71- 254 ตร.ม. ราคาขายเริ่มที่ 12.9 ล้านบาทขึ้นไป หรือราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1 แสนบาท/ตร.ม. คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะทำยอดขายได้ 60-70%

“กลุ่มเป้าหมายของโครงการ มิวนีค หลังสวน คือคนรุ่นใหม่อายุ 30 ปีขึ้นไปมีไลฟ์สไตส์ทันสมัยและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยเน้นความเป็นส่วนตัวแต่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง โดยบริษัทได้มีการออกแบบขนาดใหญ่เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้จริงในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้หากจะมีซัพพลายใหม่เข้ามาในบริเวณนี้จะต้องมีราคาเฉลี่ย 3.5 แสนบาท/ตร.ม.ขึ้นไป เพราะที่ดินหาได้ยากขณะที่ราคารีเซลสูงขึ้นทุกปีเฉลี่ยช่วง 5-10 ปี อยู่ที่ 10-20%” สุริยา กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์เพิ่มพอร์ตรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เช่า ปัจจุบันมีสัดส่วนไม่ถึง 5% ของรายได้รวม เพื่อสร้างรายได้ในระยะยาวเนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง นักพัฒนาอสังหาฯ จึงหันมาพัฒนาโครงการในลักษณะมิกซ์ยูสมากขึ้น บริษัทจึงมีแผนพัฒนาโรงแรมและอาคารสำนักงานให้เช่ารวม 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียด

นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมราว 8,000 ล้านบาท โดยทุกโครงการมีที่ดินรองรับการพัฒนาไว้แล้ว ส่วนแบ็กล็อกหรือยอดขายรอรับรู้รายได้ ปัจจุบันมีประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในครึ่งปีแรกปีนี้อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท ขณะที่เป้ายอดขายปีนี้ตั้งไว้อยู่ที่ 7,000-8,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดอสังหาฯ โดยรวมปีนี้มีแนวโน้มดีกว่าปีที่ผ่านมา กำลังซื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การส่งออกของไทยดีขึ้น การลงทุนจากภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าระดับบนยังมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง อีกทั้งอสังหาฯ ระดับลักซ์ชัวรี่ในทำเลพรีเมียมยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้าระดับบนที่ต้องการซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น รวมไปถึงนักลงทุนชาวต่างชาติต้องการซื้อคอนโดในทำเลกลางเมืองในกรุงเทพฯ

"เมเจอร์" ผนึกทุนสิงคโปร์ ลงขันลุยต่อคอนโดหรู

ด้าน อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปีนี้ตลาดคอนโดมีปัจจัยบวกสนับสนุนค่อนข้างมาก จึงทำให้คอนโดในย่านกลางเมืองปีนี้มีซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้น 10% หรือ ราว 1.2-1.5 หมื่นยูนิต จากปีที่แล้วเปิดตัวกว่า 1.2 หมื่นยูนิต

สำหรับย่านหลังสวนเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง เพราะจะเป็นศูนย์กลางเมืองใหม่และแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ กำลังจะเปลี่ยนไป โซนศูนย์กลางจะย้ายมาอยู่แถวเส้นหลังสวน ทั้งนี้โดยรอบสวนลุมพินีจะมีโครงการขนาดใหญ่ทั้งคอนโดและโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้นค่อนข้างมาก อีกทั้งพื้นที่อยู่ริมถนนใหญ่แวดล้อมด้วยสถานทูต โรงแรม อาคารสำนักงาน และใกล้กับรถไฟฟ้า

ประกอบกับในปีนี้ได้รับสัญญาณดีๆ จากภาคเศรษฐกิจ จีดีพีที่เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจมีตัวเลขที่ดีขึ้น บรรยากาศการทำธุรกิจและการซื้อขายอสังหาฯ ค่อนข้างสดใส โดยนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงให้ความสำคัญและสนใจคอนโดในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นถึงมูลค่าเพิ่มในอนาคต หากดีมานด์มากกว่าซัพพลายนั่นหมายถึงสินค้าหายากย่อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ที่ได้ลงทุน

อย่างไรก็ดี คอนโดระดับลักซ์ชัวรี่ระดับราคา 3 แสนบาท/ตร.ม. ยังเป็นที่ต้องการและมีการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคซึ่งเป็นกำลังซื้อจริง แต่กลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นนักพัฒนาอสังหาฯ ต้องตามเทรนด์ให้ทัน ปรับสินค้าคุณภาพและการบริการเพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดที่ยังคงมีการแข่งขันสูง