posttoday

"ต้องสร้างความแตกต่าง" เพซฯ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

23 พฤศจิกายน 2558

เทรนด์การก่อสร้างตึกสูงจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยธุรกิจค้าปลีก โรงแรม และอาคารชุดพักอาศัยไว้ในที่เดียวกัน

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นับวันจะแข่งขันกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่ การจับคู่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ หรือการเข้ามาของกลุ่มทุนต่างชาติที่มองเห็นโอกาสการลงทุน จึงทำให้รูปแบบการพัฒนาโครงการในรูปแบบเดิมๆ นั้นนับวันจะอยู่ได้ยากขึ้น

สรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า หัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงการของเพซฯ คือจะต้องสร้างความแตกต่างในธุรกิจ โดยเฉพาะการเจาะเข้าหากลุ่มลูกค้าเฉพาะหรือนิชมาร์เก็ตในตลาดระดับบนที่มีความต้องการไม่เหมือนใคร เช่น ต้องการความเป็นที่สุด โดยเฉพาะคุณภาพของงานก่อสร้าง เห็นได้จากการพัฒนาโครงการมหานครที่เป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยในเวลานี้ อยู่ย่านธุรกิจระหว่างถนนสีลมและสาทร ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี

“ในช่วงปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญากับสภาตึกสูงโลกที่สหรัฐอเมริกา ว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยเวลานี้อย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะมีตึกที่สูงอยู่ระหว่างการก่อสร้างตามมา ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของบริษัทที่ถือว่าเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมองค์กรระดับโลก” สรพจน์ กล่าว

ทั้งนี้ จากการจัดอันดับจะพบว่า อาคารมหานครนั้นเป็นอาคารในรูปแบบมิกซ์ยูส โดยประกอบด้วย ธุรกิจค้าปลีก โรงแรม และห้องชุดพักอาศัย ถือเป็นอันดับ 41 ของโลก และหากนับเฉพาะความสูงเป็นอาคารสูง อันดับ 85 ของโลก มีความสูง 314 เมตร จำนวน 77 ชั้น 

“การประชุมเพิ่งเกิดขึ้นที่นิวยอร์ก เวทีนี้เป็นการจัดประชุมจากทั่วโลกที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 1,000 คน ทั้งวิศวกรและสถาปนิกระดับโลก ซึ่งในอาเซียนหลังจากที่มาเลเซียสร้างปิโตรนาสที่เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ก่อสร้างเมื่อ 10 ปีก่อน ก็ยังไม่ค่อยมีตึกใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยเฉพาะในแถบอาเซียน”สรพจน์ กล่าว

ปัจจุบันจะพบว่าเทรนด์การก่อสร้างตึกสูงจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยธุรกิจค้าปลีก โรงแรม และอาคารชุดพักอาศัยไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งตึกสูงๆ ทั่วโลกทุกตึกจะมีจุดชมวิว เพราะถือเป็นจุดสูงสุดของเมืองนั้นๆ และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็นอย่างเมืองดูไบ นิวยอร์ก ไต้หวัน จีน แต่ละประเทศโชว์ศักยภาพของตึก

การออกแบบโครงการมหานครถือว่าพิเศษกว่าที่อื่น เนื่องจากต้องการทำให้เป็นแลนด์มาร์คใหม่ของกรุงเทพฯ โดยมีพื้นที่เป็นกระจกในรูปแบบพิกเซลที่ยื่นออกไปนอกตัวตึกซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกและต้องใช้หลักวิศวกรรมค่อนข้างสูง ชั้นบนสุดของตัวตึกยังทำเป็นร้านอาหารและสกายบาร์ บริเวณด้านหน้าของอาคารจะทำเป็นมหานครสแควร์ พื้นที่จัดกิจกรรมทางสังคมต่างๆ บริเวณด้านข้างของโครงการได้พัฒนาเป็นโครงการมหานคร คิวบ์ หรือเป็นศูนย์รวมร้านอาหารแบรนด์กูร์เมต์ทั่วโลก อาทิ ร้านโว้กเลานจ์ ร้านลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง และร้านดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นต้น โดยปัจจุบันมีผู้เช่าพื้นที่รวมแล้วมากกว่า 90%

“ราคาขายของโครงการมหานครปรับมาประมาณ 6 รอบแล้ว ซึ่งปรับขึ้นทุกปี ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5 แสนบาท/ตารางเมตร (ตร.ม.) แต่คิดว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จจะปรับราคาขึ้นไปอีกประมาณ 10-15% ขณะเดียวกันก็มีบางยูนิตที่เปิดขายในราคา 4.3 แสนกว่าบาท/ตร.ม. คาดว่าราคาขึ้นไต่เรื่อยไปจนถึง 5 แสนบาท/ตร.ม. เพราะตึกมหานครมีแบรนด์โรงแรมระดับโลก เป็นตึกที่สูงที่สุดในไทย และเป็นฟรีโฮลด์ ปัจจุบันมีผู้ซื้อในส่วนห้องชุดแล้วกว่า 70% และจะเริ่มทยอยโอนช่วงไตรมาสแรกของปี 2559” สรพจน์ กล่าว    

สำหรับโครงการมหาสมุทร คริสตัล ลากูน ปัจจุบันได้ก่อสร้างทะเลเทียมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างก่อสร้างคลับเฮาส์และวิลล่าตากอากาศหรู จำนวน 81 หลัง 120 ไร่ โดยจะเริ่มเปิดตัวในต้นปี 2559

ขณะที่แผนการดำเนินงานในปี 2559 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ หลังจากได้ซื้อที่ดินอยู่บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์พื้นที่ 2 ไร่เศษ มูลค่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการพัฒนาโครงการหรูนั้นจะกระจุกตัวอยู่ที่สุขุมวิทหรือใกล้กับแนวรถไฟฟ้า ซึ่งทางเพซฯ ไม่ค่อยชอบพัฒนาโครงการที่เหมือนคนอื่น จึงมีข้อดีที่การแข่งขันไม่สูง โดยจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับบน ขณะนี้อยู่ระหว่างวางแนวคิดโครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังเตรียมพัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศหรูที่ญี่ปุ่น โดยได้มีการเซ็นบันทึกความตกลงในเบื้องต้นกับเจ้าของที่ดินจำนวนกว่า 100 ไร่ เมืองนิเซโกะ จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว

“คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมาก เห็นได้จากช่วงปลายปี ซึ่งตั๋วสายการบินหลายแห่งจะเต็มตลอด โครงการนี้จะพัฒนาเป็นวิลล่าตากอากาศแบบสกีรีสอร์ทเพื่อขายคนไทย เพราะคนไทยชอบไปพักผ่อนกันเป็นครอบครัว นิยมบ้านเป็นหลังๆ” สรพจน์ กล่าว 

ขณะที่การลงทุนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า บริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาใหม่ทั้งในประเทศ จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 5 สาขา และต่างประเทศ หลังจากล่าสุดได้เปิดสาขาใหม่ในสหรัฐอเมริกาที่นิวยอร์ก พร้อมกันนี้ได้ทดลองเปิดสาขานอกกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในรูปแบบป๊อปอัพคาเฟ่ ที่โครงการอากาศ เขาใหญ่ ซึ่งรูปแบบนี้จะมีการเปิดในพื้นที่อื่นๆ อีกที่มีศักยภาพ เช่นเมืองท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ในปี 2559 นั้นบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรับรู้รายได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท/ปี แบ่งเป็นรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ 50% และรายได้จากค่าเช่า 50% ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ 1.45 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายโครงการมหานคร 9,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถโอนได้ทั้งหมด ส่วนอีก 5,000 ล้านบาท เป็นยอดขายโครงการนิมิต หลังสวน ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้นจะรับรู้รายได้ในปี 2561 ซึ่งจะทำให้ปี 2559 เริ่มมีกำไรเป็นครั้งแรก