'พฤกษา' ชวนโกอินเตอร์รับเออีซี

'พฤกษาลั่นเดินหน้าลุยตลาดต่างประเทศต่อ เร่งศึกษาตลาดอิเหนา แนะอสังหาฯ ไทยต้องลองโกอินเตอร์รับมือเออีซี

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในต่างประเทศ ว่า พฤกษายังคงมีนโยบายขยายการลงทุนในตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง และเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุด เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ที่พฤกษาได้เปิดตลาดไปแล้วอย่างประเทศเวียดนามและมัลดีฟส์

"แม้ว่าก่อนหน้านี้พฤกษาอาจจะเจออุปสรรคในการทำตลาดต่างประเทศ แต่มองว่ามันเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งหากผ่านช่วงเริ่มต้นไปได้แล้ว ขั้นต่อไปก็จะง่ายขึ้น"

สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยในอินเดีย มัลดีฟส์ และเวียดนาม ได้ทยอยเปิดตัวไปแล้ว โดยในส่วนของอินเดียที่ประเมินว่ามีโอกาสทางการตลาดมากที่สุด เตรียมจะขยายการลงทุนในบังคาลอร์และมุมไบต่ออย่างน้อยอีก 1 โครงการ ส่วนมัลดีฟส์และเวียดนามจะเน้นการสานต่อโครงการเดิมให้แล้วเสร็จ

อุปสรรคสำคัญในการทำตลาดต่างประเทศ คือ กฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการได้มาของที่ดิน ซึ่งผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทยควรทดลองไปศึกษาตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นประสบการณ์ทางธุรกิจและถือเป็นโอกาสในการขยายตัว โดยเฉพาะเมื่อเปิดเสรีทางการค้าอาเซียนแล้ว ตลาดไทยจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำตลาด

"ผู้ประกอบการไทยอาจจะมองว่าเราไปทำตลาดในบ้านคนอื่นว่ายาก คนอื่นมาทำตลาดบ้านเราก็ยากเหมือนกัน มันต้องใช้เวลา ไปเริ่มศึกษา เรียนรู้ไว้ ก็ไม่เสียหาย"

นอกจากตลาดอินเดีย เวียดนาม และมัลดีฟส์ ที่พฤกษาได้เข้าไปทำตลาดแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาตลาดที่อยู่อาศัยในอินโดนีเซียด้วย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีประชากร จำนวนมาก แต่จะต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกระยะหนึ่ง จึงจะตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนในอินโดนีเซียได้เมื่อใด

ทางด้านแผนการลงทุนในไทยยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิม โดยจะมีโครงการใหม่ 49 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 2.9 หมื่นล้านบาท และยอดโอน 2.6 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังจะเน้นโครงการบ้านแนวราบมากกว่าแนวสูง โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ใกล้เมือง เจาะตลาดระดับกลางบน

ทั้งนี้ เมื่อปลายเดือน มิ.ย. บริษัทได้เปิดขายโครงการใหม่ล่าสุด เดอะ แพลนท์ พัฒนาการ เนื้อที่ กว่า 400 ไร่ ในเฟสแรก แบ่งการพัฒนาออกเป็นโครงการบ้านเดี่ยว เนื้อที่ 45 ไร่ จำนวน 166 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,159 ล้านบาท โดยบ้านจำนวนนี้จะสามารถทยอยโอนให้กับลูกค้าได้ในไตรมาส สุดท้ายของปีนี้