“21 ปี ป.ป.ช. สร้างสังคมยุติธรรม รวมพลังคนไทย ไม่ทนทุจริต”
พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ประธานกรรมการ ป.ป.ช.) กล่าวถึงสถานการณ์การทุจริตของประเทศไทยว่า
ปัจจุบันปัญหาการทุจริตของประเทศไทยอยู่ในขั้นรุนแรง มีความซับซ้อนมากขึ้น และมีการทุจริตถึงระดับข้ามชาติ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีการรับเรื่องกล่าวหาการทุจริต จำนวน 10,382 เรื่อง ปี 2563 มีจำนวน 8,691 เรื่อง ลดลงประมาณร้อยละ 16 ซึ่งแสดงถึงสถานการณ์ที่ยังไม่ดีขึ้น โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดให้สำนักงาน ป.ป.ช. เป็นศูนย์กลางของการตรวจรับและคัดแยกคำกล่าวหา และให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการเฉพาะเรื่องที่ร้ายแรง หรือเกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ส่วนคดีที่ไม่ร้ายแรง สำนักงาน ป.ป.ช. ก็ได้ส่งให้หน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เป็นต้น หรือหากเป็นเรื่องทางวินัยก็จะส่งให้ผู้บังคับบัญชา ของหน่วยงานนั้นๆ ไปดำเนินการ ทั้งนี้ มีเรื่องร้องเรียนที่สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินการเองในปี 2562 จำนวน 2,889 เรื่อง และปี 2563 จำนวน 2,553 เรื่อง ในขณะที่วงเงินงบประมาณที่มีการกล่าวหาว่าทุจริตในปี 2562 อยู่ที่ 2.36 แสนล้านบาท ส่วนในปี 2563 ลดลงเหลือประมาณ 9 หมื่นล้านบาท สำหรับในปี 2564 (ข้อมูล ณ วันที่ 4 พ.ย. 63) สำนักงาน ป.ป.ช. มีเรื่องร้องเรียนที่อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้น จำนวน 9,416 เรื่อง และไต่สวน จำนวน 3,320 เรื่อง
“ในโอกาสที่ สำนักงาน ป.ป.ช. ครบรอบ 21 ปี ทิศทางการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ต่อจากนี้คือ การตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ต้องการให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว อำนวยความยุติธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้มีสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด และสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค ทำหน้าที่ตรวจสอบและไต่สวนคดีในท้องถิ่น หากเป็นคดีขนาดใหญ่ ใหญ่พิเศษ หรือต้องการผู้ที่มีความชำนาญพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางจะเป็นผู้ดำเนินการ หรือส่งผู้ที่มีความชำนาญลงไปช่วยในพื้นที่”
ในส่วนของการเร่งรัดการดำเนินงานนั้น ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ได้กำหนดเงื่อนไขระยะเวลาในการไต่สวนของคดีที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี แต่หากมีกรณีจำเป็นสามารถขยายเวลาได้อีก 1 ปี โดยรวมแล้วไม่เกิน 3 ปี ซึ่งในปี 2564 สำนักงาน ป.ป.ช. จะเร่งรัดคดีค้างเก่าที่รับไว้ดำเนินการ ก่อน พ.ร.บ. ดังกล่าวใช้บังคับให้เสร็จสิ้น ส่วนในปี 2565 เป็นต้นไป การปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. จะเป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด
สำหรับขั้นตอนการดำเนินงานนั้น หลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญากับเจ้าพนักงานของรัฐแล้ว จะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาฟ้องคดีภายใน 180 วัน หากอัยการสูงสุดเห็นว่ายังมีข้อไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีได้ ก็จะตั้งคณะกรรมการร่วม เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์และดำเนินการฟ้องคดีต่อไป โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 7 เดือนครึ่ง แต่หากคณะกรรมการร่วมไม่อาจหาข้อยุติได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการฟ้องคดีเอง โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ กรณีที่อัยการสูงสุดเห็นว่าพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ และคณะกรรมการร่วมไม่อาจหาข้อยุติเพื่อฟ้องคดีได้ และอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ฟ้องคดี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้องคดีเอง จำนวน 69 เรื่อง โดยคดีถึงที่สุดแล้ว 20 คดี และศาลพิพากษาลงโทษตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูล จำนวน 11 เรื่อง และยกฟ้อง 9 เรื่อง จึงถือว่าสำนักงาน ป.ป.ช. ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำคดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้มุ่งจะให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกลงโทษ ถูกยึดทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ความปรารถนาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ การป้องปรามเพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่า การทุจริตจะต้องได้รับโทษ ถูกยึดทรัพย์ และให้เห็นว่าการกระทำอาชญากรรมนั้น ไม่คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้ โดยการทำงานในมิติด้านการปราบปรามการทุจริตสำนักงาน ป.ป.ช. จึงเน้นที่การป้องปราม เพื่อเป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ในการต่อต้านการทุจริต
ด้านการป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการทำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (คณะกรรมการ สปท.) อีกทั้งยังได้จัดทำโครงการ STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเครือข่ายภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนในการต่อต้านการทุจริต รวมถึงจัดให้มีการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และการจัดตั้งกองทุนป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และสนับสนุนภาคเอกชนในการรณรงค์ป้องกันการทุจริต เป็นต้น
ส่วนด้านการตรวจสอบทรัพย์สินนั้น กฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานของรัฐจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยในเดือน ธ.ค. 2563 จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. และสมาชิกสภา อบจ. สำนักงาน ป.ป.ช. ได้เตรียมความพร้อมในการรับยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ที่จะพ้นจากตำแหน่งและเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว จำนวนกว่า 6,000 บัญชีแล้ว นอกจากนี้ ในอนาคต เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนจะต้องยื่นบัญชีฯ ต่อหัวหน้าหน่วยงานที่ตนสังกัด ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. เพื่อวางแนวทางในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าวแล้ว
ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวในตอนท้ายว่า ประชาชนมีส่วนสำคัญในการแจ้งเบาะแสการทุจริตให้สำนักงาน ป.ป.ช. ทราบ โดยคนไทยทุกคนต้องไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย ต่อการทุจริต โดยสำนักงาน ป.ป.ช. จะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ เพราะนอกจากจะเป็นการช่วยประเทศชาติในการขจัดการทุจริตแล้ว ในคดีร่ำรวยผิดปกติเมื่อคดีถึงที่สุดและมีการยึดทรัพย์ผู้กระทำความผิดแล้ว ผู้แจ้งเบาะแสยังจะได้รับเงินรางวัลอีกด้วย ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยได้คะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ซึ่งจัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ให้ได้ 50 คะแนน ในอีก 2 ปีข้างหน้าด้วย