posttoday

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเสนอนายกฯ ต่อลมหายใจเอสเอ็มอี ลดเงื่อนไขการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเยียวยาแรงงานในระบบ

20 พฤษภาคม 2563

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ถนนประชาชื่น กรุงเทพฯ เพื่อรับฟังความเดือดร้อน ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะจากสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย

โดยมีนางสาวโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย พร้อมด้วยนายณพพงศ์ ธีระวร ประธานกิตติมศักดิ์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย นายแสงชัย ธีรกุลวานิช เลขาธิการและประธานกรรมการส่วนภูมิภาค สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย นายอุดมธิปก ไพรเกษตร ประธานสถาบันส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย (ISME) นายรักติ ญวนกระโทก ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และนายณัฐพล ประดิษฐ์ผลเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเอสเอ็มอีไทย ร่วมให้การต้อนรับ

นางสาวโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเตรียมข้อมูล 3 ข้อ ได้แก่ 1. ปัญหาที่เดือดร้อนที่สุดของภาคธุรกิจของเอสเอ็มอี คืออะไร ซึ่งปัญหาที่เอสเอ็มอีเดือดร้อนที่สุดในขณะนี้คือ การขาดสภาพคล่องอย่างหนัก 2. มีข้อเสนอแนะอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือในระยะสั้นอย่างไรบ้าง ไม่เกิน 3 ข้อ และ 3. มาตรการที่ภาครัฐทำอยู่ มาตรการใดดีอยู่แล้ว และมาตรการใดที่น่าจะปรับให้ดีขึ้น

สำหรับคำถามข้อ 2. ทางสมาพันธ์ SME ไทย มีข้อเสนอแนะที่อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือในระยะสั้น ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ได้เสนอไป 3 เรื่อง เพื่อต่อลมหายใจให้เอสเอ็มอีได้เริ่มต้นใหม่ และใส่วิตามินให้กับเอสเอ็มอี ได้แก่ เรื่องที่ 1 ต่อลมหายใจ เสริมสภาพคล่อง อย่างเร่งด่วน ได้แก่ หนึ่ง ควรจัดสรรเงินชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อการจ้างงาน ให้แรงงานในระบบรายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งมีผู้ประกอบการในระบบไม่น้อยกว่า 7-8 แสนราย โดยจ่ายผ่านนายจ้าง สอง ผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อด้วยการตั้งกองทุนพิเศษเพื่อเอสเอ็มอี สาม ลดค่าใช้จ่ายของเอสเอ็มอีด้วยระบบภาษี หรือการจัดเก็บของภาครัฐทั้งหมด ทั้งด้านสาธารณูปโภค ค่าโสหุ้ยการต่ออายุต่างๆ เช่น อย. ภาษีโรงเรือน ลดค่าน้ำ ค่าไฟ 30%

เรื่องที่ 2 เริ่มต้นใหม่ และการส่งเสริมตลาด ได้แก่ หนึ่ง การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เสนอให้ซื้อสินค้าไทย ใช้ของไทย จากเอสเอ็มอีไม่น้อยกว่า 50% ซึ่งเดิมระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้จัดซื้ออยู่แล้ว 40% ของงบประมาณ เพื่อเพิ่มแต้มต่อให้ MSME โดยปรับหลักเกณฑ์ให้สามารถแข่งขันได้โดยซื้อจาก เอสเอ็มอีในประเทศหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ สอง ส่งเสริมการตลาดในประเทศ อยากให้พัฒนาอี-คอมเมิร์ชเพื่อเปิดตลาดทั่วประเทศให้เอสเอ็มอี สาม ตลาดชุมชน ควรปรับปรุงถนนคนเดิน ตลาดประจำอำเภอ และตลาดท้องถิ่น สี่ ตลาดต่างประเทศ อยากให้รัฐบาลพัฒนากลไกการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเรามีทูตพาณิชย์ในต่างประเทศมากมาย น่าจะใช้กลไกนี้มาช่วยผู้ประกอบการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพ รวมถึงกลไกการค้าขายชายแดนควรจะมีการผ่อนปรนให้เอสเอ็มอีค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น

สำหรับเรื่องที่ 3 คือ การใส่วิตามินให้กับเอสเอ็มอี โดยยกระดับความเชี่ยวชาญแรงงานและเทคโนโลยี ได้แก่ หนึ่ง การสร้างผู้ประกอบการใหม่ รัฐควรจัดหาแหล่งทุน การพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์และการขาย การตลาดสำหรับแรงงานให้กับกลุ่มคนตกงาน และนักศึกษาที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา สอง ยกระดับแรงงานและผู้ประกอบการเดิม สอนแรงงานในระบบ SME ให้เก่งอย่างรวดเร็ว ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการ Turn around ผู้ประกอบการรายเล็ก สาม ควรพัฒนาเอสเอ็มอีให้ก้าวสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชัน (Digital Transformation) ได้ในต้นทุนที่ต่ำ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยี

“สำหรับคำถามข้อ 3 ที่สมาพันธ์ฯ ได้ตอบท่านนายกรัฐมนตรี เรื่องมาตรการที่ภาครัฐทำอยู่ มาตรการใดดีอยู่แล้ว และมาตรการใดที่น่าจะปรับให้ดีขึ้นได้ คณะกรรมการสมาพันธ์ฯ ที่เข้าร่วมประชุมก็ได้กล่าวชื่นชมคณะรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่สามารถจัดการโรคระบาดครั้งนี้ได้ดี รวดเร็ว และปลดล็อกในบางกิจการให้ประชาชนได้ทำมาค้าขายได้เร็วกว่าที่คิด และขอขอบคุณที่ภาครัฐได้ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาได้หลากหลายและครอบคลุมเอสเอ็มอีหลายกลุ่ม เพียงแต่มีอุปสรรคอยู่บ้างทำให้ บางเรื่องเกิดความล่าช้า บางเรื่องเข้าไม่ถึง บางเรื่องให้ไม่สุด” นางสาวโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ ประธานสมาพันธ์ฯ กล่าวในตอนท้าย