posttoday

มธ.ร่วมซัมซุงปรับห้องเรียนเปลี่ยนอนาคต

25 มีนาคม 2558

มธ.ร่วมซัมซุงจัดงานสัมนาแห่งปีปรับห้องเรียนเปลี่ยนอนาคตขับเคลื่อนเด็กและเยาวชนไทยสู่ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21

มธ.ร่วมซัมซุงจัดงานสัมนาแห่งปีปรับห้องเรียนเปลี่ยนอนาคตขับเคลื่อนเด็กและเยาวชนไทยสู่ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21

เมื่อวันที่25มี.ค.58 ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รมช.ศึกษาธิการพร้อมด้วย มร.โยง เชิล โจ ประธาน บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์  เป็นประธาน เปิดงานจัดสัมมนาแห่งปี “Education for the Future ปรับห้องเรียน เปลี่ยนอนาคต” โดยครูและเยาวชนในโครงการ “ซัมซุง สร้างพลังการเรียนรู้สู่อนาคต” (Samsung Smart Learning Center) เข้าร่วมกว่า 300 คนมีเป้าหมายระดมแนวทางผ่าทางตันวิกฤตการศึกษาไทย และสนับสนุน “ต้นแบบห้องเรียนแห่งอนาคต” เพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ สู่อนาคตการศึกษาในศตวรรษที่ 21
 
ด.ร.กฤษณพงศ์ กล่าวในการเปิดเวทีสัมนา “Education for the Future ปรับห้องเรียน เปลี่ยนอนาคต” ครั้งนี้ว่า ระบบการศึกษาของไทย ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป ให้สอดคล้องกับบริบทของโลกใหม่ ที่ต้องการแรงงานที่มีทักษะ (Skill) หลายด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต กระทรวงศึกษาธิการจึงต้องสร้างความพร้อมแก่เด็กและเยาวชนไทยแบบไม่หยุดนิ่ง ให้เกิดทักษะที่เท่าทันความก้าวหน้าดังกล่าว ขณะที่บุคลากร เช่น ครู หรือผู้บริหารสถาบันการศึกษา ก็ต้องปรับตัวเองให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
 
ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนให้เด็กไทยต้องปรับตัว สะท้อนจากผลการสำรวจของบริษัท ไพรซ์วอเตอร์เฮาส์ ต่อมุมมองของเด็กรุ่นใหม่ในประเทศ จีน สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ พบว่า ต่างมีความต้องการออกไปทำงานนอกประเทศ มากกว่าสมัยก่อน และพร้อมใช้ภาษาอื่นๆ นอกเหนือจากภาษาประเทศตัวเองมากขึ้น แสดงว่าเด็กเหล่านี้มีศักยภาพและมีทักษะในการก้าวสู่โลกภายนอก
 
ขณะที่โจทย์ใหม่ของประเทศไทย คือกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีคนในวัย 60 ปีขึ้นไปมากขึ้น แต่ประชากรเกิดใหม่และวัยทำงานน้อยลง ทำให้โลกแห่งการเรียนรู้จะยาวนานขึ้น ไม่ใช่แค่ 12 ปี แต่ต้องเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังนั้น ถ้าเราจัดการศึกษาแบบปัจจุบัน จะเอาเด็กที่ไหนมาเรียน อีกทั้ง เมื่อพิจารณาจากสถิติพบว่า เด็กไทย 10 คน ที่เข้่าโรงเรียน แต่เรียนไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1 คน และเรียนจบแค่ระดับ ม.3 หรือ ปวช. 5 คน ส่วนที่เหลืออีก 4 คน แม้จะเข้าระดับอุดมศึกษาได้ก็จะมี 1 คน ที่เรียนไม่สำเร็จปริญญาตรี ดังนั้น เท่ากับว่า เรามีเด็ก 7 คนที่หลุดจากระบบ ออกไปทำงานโดยยังไม่มีประสบการณ์ ไม่มีวุฒิการศึกษาที่ดีพอ

“ดังนั้น เราต้องสร้างเด็กไทยให้เข้าสู่วัยแรงงานอย่างมีคุณภาพ เชื่อว่าถ้าระบบการศึกษาไทยดีแล้ว บริษัทต่างๆจะนำงานดีๆเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้นอีก เพราะต่อไปนี้คือโลกของ Internet everything และเป็นสภาพแวดล้อมของสื่อสมัยใหม่ หรือนิวมีเดีย ที่ต้องการเด็กที่มีทักษะ สามารถทำงานในองค์กรที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และใช้เครื่องมือสมัยใหม่ในการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุด"
 
รศ. ดร.อนุชาติ พวงสำลี คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การจัดสัมมนาระดมสมอง Education for the Future ปรับห้องเรียน เปลี่ยนอนาคต ในครั้งนี้ ถือเป็นความพยายามร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เพื่อร่วมหาคำตอบของการจัดการศึกษาในอนาคต ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะปัญหานี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ต้องเร่งหาทางออก ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบถึงอนาคตการศึกษาไทยร่วมกัน

ในเวลาที่ผ่านมาปัญหาวิกฤตการณ์ศึกษานั้นสะท้อนผ่านตัวชี้วัดจากคะแนนทดสอบมาตรฐานต่างๆ ที่พบว่าคุณภาพการศึกษาไทยยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นในโลก รวมไปถึงประเทศในอาเซียนด้วยกัน เช่น การประเมินผลนานาชาติ (PISA) ที่พบว่าเมื่อเทียบกับประเทศใน OECD ด้วยกัน ไทยมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าค่ามาตรฐาน หรือการจัดอันดับของ World Economic Forum ที่ไทยมีคุณภาพการศึกษาเป็นอันดับ 8 ตามหลัง สิงคโปร์ มาเลเซีย บูรไน อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา การศึกษาไทยจึงกำลังเผชิญปัญหาทั้งในเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในรายวิชา รวมไปถึงทักษะทางการคิด ไปจนถึงความสามารถในการอ่านการเขียน

“สิ่งสำคัญไปกว่านั้นการจัดการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการแข่งขันเพียงอย่างเดียวอย่างที่เป็นอยู่ยังสร้าง ความทุกข์ให้พ่อแม่ผู้ปกครองและคนที่เกี่ยวข้อง วันนี้เราจึงจำเป็นต้องตั้งโจทย์การศึกษาใหม่ หรือที่หลายคนอาจจะเรียกว่าการศึกษาในศตวรรษที่ 21 เพราะโลกเปลี่ยนไป เราคงไม่สามารถใช้วิธีการเรียนการสอนแบบเดิมเพื่อตอบโจทย์ในอนาคตได้” รองศาสตราจารย์ ดร.อนุชาติ กล่าว
 
ด้านนางสาวศศิธร กู้พัฒนากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า ในทุกประเทศที่ ซัมซุง เข้าไปดำเนินธุรกิจ ซัมซุง มีนโยบายที่จะนำเอานวัตกรรมของเรา มาสร้าง การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมนั้น โดยคำนึงถึงบริบทและความต้องการของสังคม ในประเทศไทยเราพบว่า การศึกษาเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่ผู้คนในสังคมทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญ ซัมซุงจึงนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีของเรา มาพัฒนาโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาการศึกษาในประเทศไทย และในงานสัมมนาในครั้งนี้ ซัมซุงได้ร่วมถ่ายทอดบทเรียนจากการดำเนินโครงการเพื่อสังคม Samsung Smart Learning Center ซัมซุง สร้างพลังการเรียนรู้สู่อนาคต ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2556 ในการพัฒนาต้นแบบห้องเรียนแห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้กับเด็กไทยทั่วประเทศ ซึ่งได้ดำเนินโครงการนำร่องไปแล้วในโรงเรียน 31 แห่งทั่วประเทศ และตั้งเป้าให้ถึง 40 แห่งในปี 2558 การดำเนินโครงการนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่ได้มีการนำแนวคิดการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ตามแนวทางสากล มาประยุกต์ใช้ได้ในบริบทประเทศไทยอย่างรอบด้าน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐาน

“วันนี้ห้องเรียนแห่งอนาคตของ ซัมซุง ได้ช่วยให้ครูและนักเรียนก้าวข้ามข้อจำกัด ในการเรียนแบบเดิมที่เด็กเป็นผู้รับและครูเป็นผู้บรรยาย สู่กระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดการศึกษาที่เด็กมีส่วนร่วมเป็น Active Learner และสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากการติดตามผลเราพบว่าเด็กๆ ที่ผ่านการเรียนรู้แบบนี้สามารถพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีนัยสำคัญ ในระยะเวลาสั้นๆ เราจึงเชื่อว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของทางออกของการศึกษาแห่งอนาคต” นางสาวศศิธร กล่าว

ทั้งนี้ในงานสัมมนา Education for the Future ปรับห้องเรียน เปลี่ยนอนาคต ถือเป็นครั้งแรกของความร่วมมือระหว่าง คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด และสำนักข่าวออนไลน์ ไทยพับลิก้า โดยมี ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน และมี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แสดงปาฐกถาพิเศษในงาน