จ้างทำเว็บไซต์ ต้องจัดการภาษีหัก ณ ที่จ่ายยังไง?
จ้างทำเว็บไซต์ควรรู้! ภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด นิติบุคคลต้องใส่ใจกับอัตรา 3% หรือ 5% พร้อมยื่นแบบให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
แม้ว่าโลกออนไลน์จะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่ "เว็บไซต์" ก็ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีบทบาทกับผู้คนอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีการค้นหาข้อมูลผ่าน Google เว็บไซต์ก็มักจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการเสมอ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงมองหาโอกาสในการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเพื่อใช้เป็นพื้นที่สื่อสาร แสดงตัวตน ผลงาน หรือแม้แต่เพื่อขายสินค้าหรือบริการต่างๆ ซึ่งสามารถทำได้อย่างอิสระในปัจจุบัน
แต่รู้หรือไม่ว่า... เมื่อมีการ "จ้างทำเว็บไซต์" โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ว่าจ้างเป็นนิติบุคคล เรื่องภาษีก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ เพราะไม่ใช่แค่ภาษีทั่วไปที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ยังมีประเด็นเรื่อง “การหักภาษี ณ ที่จ่าย” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตามกฎหมายแล้ว “ผู้ว่าจ้างที่เป็นนิติบุคคล” จะต้องเป็นผู้ดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าจ้างที่จ่ายให้ผู้รับทำเว็บไซต์ แล้วต้องหักในอัตราเท่าไร? ไปดูรายละเอียดได้ดังนี้
เข้าใจให้ชัด! จ้างเขียนโปรแกรมแบบไหนต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
การจัดทำเว็บไซต์สามารถแบ่งออกได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรมขึ้นใหม่ทั้งหมด การใช้โปรแกรมสำเร็จรูป การเขียนและจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน รวมไปถึงการวางจำหน่ายให้กับผู้ใช้งานทั่วไป
ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้ว่าจ้างให้จัดทำเว็บไซต์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม จะมีหน้าที่ในการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% จากค่าจ้างที่จ่ายให้กับผู้ให้บริการ ซึ่งแต่ละกรณีของการเขียนโปรแกรมนั้นจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถจำแนกรูปแบบของการให้บริการเขียนโปรแกรม และแนวทางการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ดังนี้
1.การหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการพัฒนาออกแบบและเขียนโปรแกรม
ในกรณีที่นิติบุคคลว่าจ้างบุคคลหรือบริษัทให้ดำเนินการพัฒนา ออกแบบ และเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานเฉพาะสำหรับกิจการของตนเอง และลิขสิทธิ์ของผลงาน ดังกล่าวตกเป็นของผู้ว่าจ้างโดยสมบูรณ์ นิติบุคคลผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ผู้รับจ้างในอัตรา 3% ก่อนทำการจ่ายค่าตอบแทน
2.การหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับโปรแกรมสำเร็จรูป
ในกรณีที่นิติบุคคลว่าจ้างให้จัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรมใหม่ ค่าตอบแทนในการใช้งานซอฟต์แวร์ หรือแม้แต่การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายทั่วไป เมื่องานแล้วเสร็จและมีการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้รับจ้าง รายได้ดังกล่าวถือเป็นค่าลิขสิทธิ์ตามที่ระบุไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3
ดังนั้นนิติบุคคลผู้ว่าจ้างจึงมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าตอบแทนที่จ่ายให้แก่ผู้รับจ้างในอัตรา 3% ก่อนดำเนินการจ่ายเงิน
3.การหักภาษี ณ ที่จ่าย เมื่อซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปผ่านตัวแทนจำหน่าย
ในกรณีที่ผู้รับจ้างเขียนโปรแกรมได้พัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปขึ้นมา และทำการจำหน่ายให้แก่ตัวแทนจำหน่ายทั่วไป ซึ่งตัวแทนจำหน่ายได้นำโปรแกรมดังกล่าวไปขายต่อให้กับผู้ซื้อรายอื่นที่เป็นนิติบุคคล หรือในบางกรณีอาจจำหน่ายให้กับนิติบุคคลโดยตรง
ซึ่งค่าตอบแทนที่กิจการผู้เขียนโปรแกรมและตัวแทนจำหน่ายได้รับจากการขายโปรแกรมสำเร็จรูปดังกล่าว ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) ซึ่งจัดอยู่ในประเภทค่าลิขสิทธิ์
ดังนั้นเมื่อนิติบุคคลเป็นผู้ซื้อโปรแกรมดังกล่าว ไม่ว่าจะซื้อโดยตรงจากผู้พัฒนาหรือผ่านตัวแทนจำหน่าย มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% จากยอดเงินที่จ่ายให้แก่ผู้ขาย ก่อนทำการจ่ายเงินค่าซื้อโปรแกรม
รู้หรือไม่หากซื้อโปรแกรมจากต่างประเทศ โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%
เมื่อมีการซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากผู้ขายในต่างประเทศ โดยผู้ซื้อเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ค่าซื้อโปรแกรมดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 ตามมาตรา 40(3) ของประมวลรัษฎากร ซึ่งหมายถึงค่าลิขสิทธิ์บริษัทนิติบุคคลในไทยที่ทำการซื้อโปรแกรมมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนชำระเงินให้กับผู้ขาย อย่างไรก็ตามอัตราการหักภาษีจะขึ้นอยู่กับประเทศต้นทางของผู้ขายอีกด้วย
นอกจากนี้นิติบุคคลผู้ที่เป็นผู้หักภาษีจะต้องจัดทำและยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 พร้อมทั้งนำส่งเงินภาษีที่หักไว้ต่อกรมสรรพากรภายในเวลาที่กำหนด
การหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ
เป็นที่ทราบกันดีว่านิติบุคคลที่ว่าจ้างนักเขียนโปรแกรมมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าจ้างหรือค่าบริการที่จ่ายให้ผู้รับจ้าง แต่อีกมุมหนึ่งนิติบุคคลที่เป็นผู้รับจ้างเองก็มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเช่นเดียวกัน เมื่อมีการจ่ายเงินให้บุคคลภายนอกตามลักษณะของรายจ่ายที่กฎหมายกำหนด โดยสรุปหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายของนิติบุคคลผู้รับจ้างเขียนโปรแกรมสามารถแบ่งตามประเภทของรายจ่ายได้ดังนี้
- ค่าจ้างและเงินเดือนพนักงาน
หากพนักงานมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย หรืออาจหักในอัตราต่ำสุดคือ 0% ทั้งนี้จะใช้อัตราภาษีก้าวหน้าตามเกณฑ์ของกรมสรรพากร - ค่าจ้างทำงานหรือค่าบริการทั่วไป
เช่น กรณีจ้างบุคคลเป็นนายหน้าขายโปรแกรม และจ่ายค่าคอมมิชชัน จะใช้หลักการเดียวกับค่าจ้างหรือเงินเดือนในการคำนวณภาษี - ค่าบริการวิชาชีพอิสระ
หากมีการจ้างบุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพเฉพาะต่อไปนี้ ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% คือ เวชกรรม, เภสัชกรรม, ทันตกรรม (กลุ่มโรคศิลปะ) ประณีตศิลป์ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม บัญชีทนายความ - ค่ารับเหมาและบริการทั่วไป
หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% ของยอดที่จ่าย - ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 5% ของค่าเช่าที่จ่าย - ค่าโฆษณา
หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 2% - ค่าขนส่ง
หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 1%
กล่าวโดยสรุป ผู้ว่าจ้างที่เป็นนิติบุคคลและจดทะเบียนบริษัท หากมีการว่าจ้างบุคคลหรือหน่วยงานอื่นให้ดำเนินการเขียนโปรแกรม จะต้องดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% หรือ 5% ตามลักษณะของการให้บริการ และต้องจัดทำแบบแสดงรายการภาษี เช่น ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53 หรือ ภ.ง.ด.54 พร้อมนำส่งเงินภาษีที่หักไว้ต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป หรือสามารถยื่นแบบผ่านระบบออนไลน์ได้ถึงวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากมีการยื่นแบบแสดงรายการหรือข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และต้องรับผิดชอบในส่วนของเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


