ผลสำรวจชี้ 96% หนุนงานสารทเดือนสิบ นครศรีฯปลอดเหล้า–บุหรี่

จังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายองค์กรงดเหล้า หน่วยงานรัฐและภาคีประชาสังคม จัดเวทีเสวนา “การเฝ้าระวัง ควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ในงานสารทเดือนสิบ ณ เวทีกาชาดทุ่งท่าลาด เพื่อย้ำเจตนารมณ์ให้งานบุญ–งานกาชาดเป็นพื้นที่ปลอดเหล้าและบุหรี่ โดยผลสำรวจประชาชนกว่า 96% สนับสนุนชัดเจน

นายธีระ วัชรปราณี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ระบุว่า หลังปี 2551 เครือข่ายฯ ผลักดันให้งานกาชาดเป็นพื้นที่ปลอดเหล้าเพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุและความรุนแรง โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี 2553 จนปัจจุบันกว่า 50 จังหวัดจัดงานกาชาดปลอดเหล้าแล้ว

แม้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ผ่อนคลาย แต่สังคมยังคาดหวังให้งานสาธารณะสำคัญ เช่น กาชาด–สารทเดือนสิบ ยังคงเข้มงวดต่อไป และควรขยายไปสู่งานชักพระ สงกรานต์ ลอยกระทง และ OTOP

นายวรวุฒิ ประสารพจน์ ประชาคมงดเหล้า จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า งานสารทเดือนสิบเคยมีปัญหาการทะเลาะวิวาทและอุบัติเหตุทุกคืนจากร้านจำหน่ายเหล้าเบียร์กว่า 70–80 ร้าน

แต่หลังมีการบังคับใช้นโยบายปลอดเหล้าอย่างต่อเนื่อง ปัญหาลดลงชัดเจน โดยผลสำรวจกลุ่มเยาวชน YSDN ระหว่าง 12–16 ก.ย. 2568 จำนวน 403 คน พบว่า 96% เห็นด้วยกับมาตรการห้ามขาย–ดื่มเหล้าและห้ามสูบบุหรี่ในงาน เหตุผลหลักคือ ลดความรุนแรงและอุบัติเหตุบนท้องถนน และเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเยาวชน

ประชาชนยังพึงพอใจกับมาตรการกว่า 97% ขณะที่ 67% รับรู้การรณรงค์อย่างชัดเจน และพบการสูบบุหรี่ในพื้นที่บางส่วน แต่ลดลงต่อเนื่อง โดยปีนี้การยึดบุหรี่ไฟฟ้าจากเยาวชนน้อยกว่าปีก่อนมาก

นางวิภาดา อัฐพร หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคไม่ติดต่อ สสจ.นครศรีธรรมราช ย้ำว่าทีมเฝ้าระวังทำงานต่อเนื่องตลอดงาน สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมได้จริง

ด้านนางศิริพร ศิริคุณ นักวิชาการศึกษาฯ ระบุว่า มีการตั้งพนักงานส่งเสริมความประพฤตินักเรียนกว่า 1,450 คน คุมครอบคลุมทั้ง 23 อำเภอ เพื่อดูแลเยาวชนร่วมงาน ขณะที่ตำรวจนครศรีธรรมราชกว่า 70 นายร่วมตั้งจุดตรวจ–สแกนอาวุธ ป้องกันเหล้า ยาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้าเข้าสู่งาน พร้อมเดินรณรงค์เชิงป้องปราม

ตัวแทนจากสภาเด็กและเยาวชน เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ และเหล่ากาชาดจังหวัดร่วมเสวนาย้ำว่า การสร้างพื้นที่ปลอดเหล้า–บุหรี่ ไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างแบบอย่างเชิงบวกต่อสังคม และเป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปสู่งานบุญ–งานประเพณีสำคัญทั่วประเทศ