ธนาคารไทยเครดิต พอร์ตสินเชื่อกว่า 1.38 แสนล้าน NIM สูงสุดในอุตสาหกรรม
ตลาดหุ้น IPO ในปี 2567 กลับมาคึกคักกันตั้งแต่ต้นปี เมื่อเห็นชื่อ “ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน)” เดินหน้าแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก จำนวนไม่เกิน 347,029,122 หุ้น ซึ่งนับเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ในรอบ 10 ปีที่เข้ามาระดมทุน
รู้จักธนาคารไทยเครดิต ธนาคารพาณิชย์เพื่อคนตัวเล็กในสังคม
ธนาคารไทยเครดิต เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อไมโครและนาโนไฟแนนซ์ (Micro and Nano Finance) และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้เท่าที่ควร กลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีจำนวนมากและถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปถึง บริการเงินฝาก สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
และด้วยโมเดลธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถเข้าถึงเงินทุนจากเงินฝากของกลุ่มลูกค้าธนบดีธนกิจ และให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เท่าที่ควร อีกทั้ง ความเชี่ยวชาญของบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจในการให้บริการ ควบคู่การบริหารความเสี่ยงสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงอย่างรัดกุม พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ทำให้วันนี้ธนาคารไทยเครดิตมีตำแหน่งทางการตลาดที่โดดเด่นและเป็นธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบด้วยความเชื่อมั่นในปรัชญา “Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ”
ธนาคารไทยเครดิต ช่องทางสาขาที่เป็นเอกลักษณ์
ปัจจุบัน ณ ไตรมาส 3 ปี 2566 ธนาคารไทยเครดิต มีสาขาให้บริการทั้งหมด 527 สาขา แบ่งเป็นสาขาเงินฝาก 27 สาขา สาขาสินเชื่อ 267 สาขา และ Kiosk อีก 233 สาขา ซึ่งถือว่ามีสาขาให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ไทยเครดิตมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยี เช่น ไมโครเพย์ มาใช้ เพื่อช่วยทำให้เรื่องธนาคารเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีบัญชีดาวน์โหลดทั้งหมด ที่ผ่านการยืนยันตัวตน KYC 428,927 บัญชี จำนวนผู้ใช้งาน (Active User) 30.4% จำนวนธุรกรรมเข้าออก 13,997 ล้านบาท
ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
ปี 2563 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 6,370.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,372.9 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 8,493.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,935.0 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 11,052.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,352.5 ล้านบาท
งวด 9 เดือน ปี 2566 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 9,783.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,816.7 ล้านบาท ตามลำดับ
จุดเด่น การเติบโตสูงเมื่อเทียบอุตสาหรรม
ณ งวด 9 เดือนของปี 2566 ธนาคารไทยเครดิต ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มี NIM (Net Interest Margin) สูงสุดในอุตสาหกรรม โดยสูงกว่า 8% ประกอบกับ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 36.2% มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROE) สูงกว่า 20% ตอกย้ำ ไทยเครดิตเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ธนาคารไทยเครดิตมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ดีกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมด้วย ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารฯ มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยสะสมระหว่างปี 2563-2565 (CAGR) ของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ อยู่ที่ร้อยละ 33.0 ต่อปี ณ งวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ธนาคารฯ มีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ จำนวน 138,435.1 ล้านบาท
พอร์ตสินเชื่อกว่า 1.38 แสนล้าน
ธนาคารไทยเครดิต มีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ จำนวน 138,435.1 ล้านบาท ขณะที่ มีโครงสร้างจำนวนสัญญาสินเชื่อรวม 371,699 สัญญา
โดยโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อแบ่งเป็น
• สินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี 67.7%
• สินเชื่อไมโครและนาโนไฟแนนซ์ 15.3%
• สินเชื่อบ้านแลกเงิน 15.2%
• อื่นๆ 1.8%
นักลงทุนสถาบันระดับโลกเชื่อมั่นลงทุนสัดส่วนประมาณ 40% ของ IPO
อีกหนึ่งในความน่าสนใจคือ ธนาคารฯ ได้เปิดข้อมูลในแบบไฟลิ่ง มีผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมจำนวน 6 ราย ได้ตกลงที่จะซื้อหุ้นสามัญของธนาคารฯ และผู้ถือหุ้นเดิมที่เสนอขายเป็นจำนวนรวมประมาณไม่เกิน 140,352,490 หุ้น ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย คิดเป็นประมาณ 40% ของจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมด
โดย Cornerstone Investors ซึ่งเป็นสถาบันการเงินระดับโลก เลือกมาลงทุนในหุ้น CREDIT สะท้อนความเชื่อมั่นในการเติบโตอย่างมั่นคง อีกทั้ง ธนาคารไทยเครดิต เป็นธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ (Underserved) ให้สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจ และมีคุณภาพชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ตอกย้ำ การเป็นธนาคารที่พึ่งของชุมชนและการเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของสถาบันการเงินระดับโลกที่เข้ามาลงทุน
แผนการเสนอขาย IPO
ธนาคารไทยเครดิตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม จำนวนไม่เกิน 347,029,122 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 5.00 บาท/หุ้น
กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น 28.00 – 29.00 บาท/หุ้น เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยร่วมจองซื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 23 - 26 มกราคม 2567 และเตรียมเปิดให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ 31 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2567
เตรียมพบกับ ธนาคารไทยเครดิต คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดธุรกิจ (Sector) กลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “CREDIT”
*การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และโปรดอ่านหนังสือชี้ชวน หรือข้อมูลที่มีสาระตรงตามข้อมูลสรุปสาระสำคัญของหลักทรัพย์ (Executive Summary) อย่างรอบคอบ


