posttoday

สะท้อนปัญหาธุรกิจผ่าน ‘Quiet Firing’ กดพนักงานให้ดิ่ง บีบให้ยื่นซองขาวเอง

31 ตุลาคม 2565

หลายบริษัทอาจกำลังหนักใจกับกระแส ‘Quiet Quitting’ ของคนทำงาน แต่จริงๆแล้วจุดที่ควรมุ่งความสนใจคือ ‘Quiet Firing’ หรือการกดดันจากนายจ้าง บีบลูกจ้างให้ออกเองแบบไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย นอกจากจะไม่ส่งผลดีต่อพนักงานแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวยังส่งผลเสียต่อธุรกิจอีกด้วย

ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินเทรนด์การทำงานแบบ Quite Quitting หรือการทำงานแบบตามหน้าที่ ตามเงินที่ได้รับ แทนการอุทิศชีวิตหรือถวายตนให้กับงานมาแล้ว ซึ่งประเด็นนี้ตกเป็นข้อถกเถียงจนส่งไม้ต่อไปยังประเด็นใหม่กับ Quite Firing หรือการกดดันพนักงาน บีบให้ลาออกเอง ถือเป็นวิธีไล่ออกแบบเงียบๆเนียนๆจากนายจ้างนั่นเอง กระแสนี้นอกจากจะเป็นตัวสะท้อนภาพลักษณ์ของนายจ้างแล้ว ยังสามารถสะท้อนถึงปัญหาและวิกฤตการเงินที่บริษัทของเรากำลังเผชิญอยู่ได้อีกด้วย

สะท้อนปัญหาธุรกิจผ่าน ‘Quiet Firing’ กดพนักงานให้ดิ่ง บีบให้ยื่นซองขาวเอง

‘Quiet Firing‘ภาพสะท้อนตัวนายจ้างและเศรษฐกิจ

กระแส Quite Firing แท้จริงแล้วเกิดขึ้นมานมนานและมีให้เห็นเกือบทุกยุคทุกสมัยเมื่อนายจ้างต้องการไล่พนักงานออกแบบไม่ต้องเลย์ออฟ ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ในปัจจุบันที่หลายองค์กรเริ่มปรับแผนการทำงานให้มีความเป็น Hybrid มากขึ้น ทำงานกันแบบ Remote work การพบปะเห็นหน้าค่าตากันในออฟฟิศเริ่มมีน้อยลง ถ้านายจ้างคิดอยากจะแอบไล่ออกแบบเนียนๆแล้ว ก็สามารถทำตัวห่างเหิน หมางเมินคนในทีมไปเลยก็ได้ เพราะยังไงเสียก็ไม่ต้องเจอหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว ถือเป็นช่องว่างที่สามารถหยิบมาเล่นได้อย่างง่ายดาย

 

บางบริษัทอาจไม่ยอมขึ้นเงินเดือนให้เลย แม้ว่าพนักงานจะทำมาอย่างยาวนาน 5 ปี 10 ปี แถมมีผลงานก็ดีมาโดยตลอด หรือบางครั้ง Quite Firing จากหัวหน้างานอาจมาในรูปแบบสร้างงานสร้างอาชีพเพิ่มภาระจนงานล้นมือ สั่งงานในวันหยุดแบบไม่ให้ค่าแรง พูดจาถากถางลดคุณค่า ทำลายความมั่นใจของพนักงานจนรู้สึกหมดไฟและกดดันทุกทางอย่างไร้อำนาจต่อรอง

สะท้อนปัญหาธุรกิจผ่าน ‘Quiet Firing’ กดพนักงานให้ดิ่ง บีบให้ยื่นซองขาวเอง

Quite Firing อาจไม่ใช่ความผิดของพนักงานไปเสียทั้งหมด แต่อาจมาจากทัศนคติส่วนตัวและการขาดทักษะความเป็นผู้นำที่ดีของหัวหน้างานที่ไม่รู้วิธีดึงศักยภาพของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้นำมาใช้จนเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังอาจสะท้อนถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่บริษัทกำลังเผชิญ ทั้งภาวะเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงภาวะสงครามในหลายประเทศ การต้องปลดพนักงานออกแบบบีบให้ยื่นซองขาวไปเองเงียบๆ ไม่ต้องจ่ายค่าตกใจตามกฎหมายแรงงานก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทุ่นแรงได้ดีสำหรับนายจ้าง

 

ไม่ว่าแรงจูงใจเบื้องหลังการกดดันให้ลูกจ้างลาออกเองจะเป็นอะไร แต่ Quite Firing ถือเป็นวิธีปฏิบัติที่ไม่สมควรสำหรับคนเป็นเจ้าคนนายคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้คุณดูไม่มีความเป็นมืออาชีพ ขาดทักษะความเป็นผู้นำที่ดี (แถมอีโก้บังตา ไม่ยอมพัฒนาทักษะนี้อีก) ยังส่งผลให้พนักงานพลาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง แทนที่จะได้นำศักยภาพตรงนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับองค์กร แถมส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์บริษัทโดยรวมได้อีกด้วย

สะท้อนปัญหาธุรกิจผ่าน ‘Quiet Firing’ กดพนักงานให้ดิ่ง บีบให้ยื่นซองขาวเอง

Quiet Firing กับผลร้ายที่อาจกระทบธุรกิจ

ผู้เชี่ยวชาญและให้คำปรึกษาด้านอาชีพจาก ResumeBuilder กล่าวว่านอกจากผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับชื่อเสียงบริษัท ผลที่ได้จาก Quiet Firing ใช่ว่าจะการันตีและส่งผลดีในระยะยาวเสมอไป เมื่อนายจ้างเริ่มใช้วิธีกดดันบีบบังคับไปเรื่อยๆ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวคนทำงานอยู่แล้ว แม้ว่าสุขภาพจิตจะพังไปหมดแต่ยังทนอยู่ต่อเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ประสิทธิภาพการทำงาน คุณภาพงานย่อมลดลง นอกจากบริษัทจะไม่ได้ลดค่าใช้จ่ายแล้วคุณภาพงานที่แย่ลงอาจส่งผลบานปลายกับทีมได้ จากการศึกษาค้นพบว่าพนักงานส่วนใหญ่ที่ทำงานแบบ Quiet Quitting ก็เพราะหัวหน้างานเริ่ม Quiet Firing มาก่อนนั่นแหละ!

สะท้อนปัญหาธุรกิจผ่าน ‘Quiet Firing’ กดพนักงานให้ดิ่ง บีบให้ยื่นซองขาวเอง

นอกจากนี้ในยุคที่ทุกคนมีโซเชียลอยู่ในมือ การที่พนักงานสักคนถูกหัวหน้างานกระทำด้วยพฤติกรรมดังกล่าว การใช้โซเชียลเพื่อร้องทุกข์ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดนัก เพราะไหนๆก็จะโดนไล่ออกอยู่แล้ว ก็ตีแผ่เรื่องคาวๆฉาวโฉ่ไปเลยละกัน! เมื่อ Quite Firing สามารถสร้างผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรได้มากขนาดนี้ ในอนาคต การจะหาคนเข้ามาทำงานต่อคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฝ่ายบุคคลอีกต่อไป

 

แม้หลายองค์กรกำลังกลัดกลุ้มกับกระแส ‘Quiet Quitting’ ของคนทำงาน แต่จริงๆแล้วจุดที่ควรมุ่งความสนใจคือปรากฎการณ์ ‘Quiet Firing’ และมุ่งสร้างความโปร่งใสให้กับคนทำงานมากกว่า คุณภาพงานเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถสะท้อนความเป็นเราได้ แต่อีกนัยหนึ่งก็เป็นเครื่องสะท้อนการสั่งงานของผู้บังคับบัญชาได้ดีเช่นเดียวกัน ในเมื่อบริษัทหมดหนทางสู้ต่อ หรือพนักงานหมดความจำเป็นแล้ว การหารือคุยกันตรงๆและทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามขั้นตอนทางกฎหมายก่อนแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน คงถือเป็นวิธีที่แฟร์และเป็นธรรมที่สุดแล้วสำหรับทั้งสองฝ่าย 

 

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.4cornerresources.com/blog/what-is-quiet-firing/

https://www.foxbusiness.com/lifestyle/quiet-firing-employers-workers-address-latest-business-trend

https://www.cnbc.com/2022/09/30/7-signs-of-quiet-firing-to-look-for-at-work.html

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท