นักเรียนไทยค้นพบกลไกเกี่ยวพันฆ่าตัวตายในสมอง
ที่ผ่านมาเราเข้าใจกันมาตลอดว่าการฆ่าตัวตายล้วนเกิดจากสาเหตุทางจิตเวช เป็นอาการที่เกิดเมื่อสภาพจิตใจดิ่งถึงขีดสุด แต่อาจไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป เมื่อการค้นพบใหม่ของนักเรียนไทยแสดงให้เห็นว่า การฆ่าตัวตายอาจเกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาท
การฆ่าตัวตาย ถือเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตที่พบได้ทั่วไปในสังคม ข้อมุลจากตัวเลขทางสถิติพบว่าแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายกว่า 700,000 ราย เฉลี่ยแล้วมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จในทุก 40 วินาที สำหรับในประเทศไทยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขก็ระบุว่า การเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายก็สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา
นั่นทำให้ปัญหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายคือเรื่องที่เราทุกคนต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ เพราะอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนรอบตัว เพื่อน หรือแม้แต่ครอบครัวเราได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเราจึงต้องสังเกตและเอาใจใส่เมื่อรู้สึกว่าคนใกล้ชิดมีพฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม เพื่อให้สามารถป้องกันการฆ่าตัวตายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที
จริงอยู่การฆ่าตัวตายเกี่ยวพันกับสภาพจิตใจและความรู้สึกของคนเราเป็นหลัก แต่บางส่วนก็อาจเกิดขึ้นจากกลไกของร่างกายด้วยเช่นกัน อย่างในกรณีของโรคซึมเศร้าที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง นำไปสู่การเกิดภาวะหดหู่หมดไฟส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ล่าสุดจากการค้นพบของเด็กนักเรียนลูกครึ่งไทย-อเมริกันทำให้เรารู้ว่า การฆ่าตัวตายก็เกิดจากความบกพร่องในสมองด้วยเช่นกัน
การค้นพบโปรตีนที่ส่วนในกลไกการฆ่าตัวตาย
การค้นพบนี้เกิดขึ้นจากฝีมือของ นาตาชา กุลวิวัฒน์ ลูกครึ่งไทย-อเมริกันวัย 16 ปี ศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมปลายในสหรัฐฯ กับการค้นพบว่าโปรตีนในสมองอาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การฆ่าตัวตาย ทำให้เธอคว้ารางวัลชนะเลิศในการประกวดโครงการวิจัยจากงาน Regeneron International Science and Engineering Fair ได้สำเร็จ ได้รับเงินรางวัลกว่า 50,000 ดอลลาร์(1.74 ล้านบาท)
งานวิจัยนี้อาศัยการค้นคว้าเป็นระยะเวลานานหลายเดือนในห้องแลปของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กับการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยการบริจาคของญาติผู้เสียชีวิต หลังทำการศึกษาตัวอย่างได้ 10 ราย จึงเริ่มมีการค้นพบว่าผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมีโปรตีนกลุ่ม ไซโตไคน์ เป็นจำนวนมาก
โปรตีนกลุ่มนี้สามารถเกิดขึ้นจากการอักเสบภายในร่างกายเมื่อระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อการเข้ามาของเชื้อโรค แต่บางครั้งไซโตไคน์สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มีภัยคุกคาม นั่นทำให้ร่างกายเกิดอาการอักเสบมากเกินจนส่งผลเสียได้หลายกรณี เพิ่มอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้ หัวใจ ไปจนมะเร็งขึ้นอย่างมาก
อีกส่วนที่ได้รับผลกระทบคือโปรตีนชนิดหนึ่งในสมองชื่อ Claudin-5 โปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นผนังกั้นระหว่างเลือดและเซลล์สมอง ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า ไซโตไคน์ทำให้ Claudin-5 เพิ่มสูงและเข้าไปปะปนในเซลล์สมองและระบบประสาทจำนวนมาก ส่งผลเป็นพิษต่อการทำงานของระบบประสาท และทำให้การทำงานของสมองผู้ตายเกิดการบกพร่อง
ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่ข้อสรุปว่า ความผิดปกติของโปรตีน Claudin-5 ในสมองที่มีปริมาณสูงขึ้น เป็นเหตุให้สมองเริ่มทำงานผิดปกติ และเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่นำไปสู่ความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายดังกล่าว ซึ่งสามารถทำการตรวจวัดได้เชิงกายภาพ
นี่จึงเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่อาจทำให้เราเปลี่ยนมุมมองต่อการฆ่าตัวตายโดยสิ้นเชิง
การเปลี่ยนมุมมองต่อการฆ่าตัวตาย ไม่จำกัดแค่เรื่องจิตวิทยา
ที่ผ่านมาหลายท่านอาจมองว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องเชิงจิตเวชเป็นหลัก เข้าใจว่าเป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตที่ต้องเข้าบำบัดรักษา อันที่จริงก็ไม่ใช่แนวคิดที่ผิดด้วยการบำบัดช่วยผู้ป่วยที่คิดฆ่าตัวตายไว้มากมาย แต่จะบอกว่านี่เป็นอาการทางจิตคงไม่ได้เสียทีเดียว
อ้างอิงจากกรณีโรคซึมเศร้าที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นเพียงโรคทางจิตเวชทั่วไป ก่อนมารู้ในภายหลังว่าอาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ นำไปสู่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและพัฒนาแนวทางการรักษาขึ้นมาเป็นรูปธรรม
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เรามองการฆ่าตัวตายด้วยแง่มุมอื่นนอกจากด้านจิตวิทยา ทำการศึกษาผ่านแนวคิดทางการแพทย์และระบบประสาท ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ก้าวแรกซึ่งจะช่วยนำไปทางสู่ความเป็นไปได้ในการรักษาอาการอยากฆ่าตัวตาย เมื่อเราค้นพบว่าต้นตอของอาการเกิดจากความผิดปกติของเซลล์สมอง
แน่นอนความสำเร็จนี้เป็นเพียงขั้นแรกในการศึกษา ขั้นต่อไปงานวิจัยของเธอจะเริ่มทำการศึกษาผลลัพธ์จากการอักเสบ และทดลองทำการรักษาการอักเสบที่เกิดขึ้นจากไซโตไคน์ว่า จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโปรตีน Claudin-5 ในหนูทดลองได้หรือไม่ รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสมองหลังจากนั้น
หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จไม่แน่ว่าเราอาจสามารถใช้ยาแก้อักเสบในการลดความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายแก่ผู้ป่วย และหากได้รับการพัฒนาและวิจัยอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตการฆ่าตัวตายอาจเป็นเพียงโรคภัยไข้เจ็บชนิดหนึ่งซึ่งสามารถทำการรักษาให้หายขาดได้เช่นกัน
นี่จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจช่วยชีวิตผู้ป่วยที่คิดอยากฆ่าตัวตายเป็นจำนวมากในอนาคต
ที่มา
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/181088