รุ้งกินน้ำเกิดถี่ขึ้น ความงามหลังฝน สะท้อนภาวะโลกร้อง!
จะเรียกว่าเป็นข่าวดีหรือไม่? เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) ทำให้ความถี่ของการเกิดรุ้งกินน้ำทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2100
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาวายเผยรายงานการศึกษาว่าภายในปี 2100 โอกาสเกิดรุ้งกินน้ำจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับช่วงต้นศตวรรษที่ 21 จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยภูมิภาคในแถบละติจูดเหนือและระดับความสูงที่สูงมากจะพบรุ้งกินน้ำได้มากที่สุด เนื่องจากปริมาณหิมะลดลง ฝนตกเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่โซนทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอาจมีปริมาณฝนลดลงจะอาจไม่สามารถพบเห็นรุ้งกินน้ำได้อีกเลย
ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ อาจไม่ใช่เรื่องดีอีกต่อไป
Kimberly Carlson นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้กล่าวว่า เธอเติบโตขึ้นมาในฮาวาย และการได้เห็นความงามอันชั่วครู่ของรุ้งกินน้ำเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว มันทำให้เธอรู้สึกเบิกบานใจ แต่เธอก็เกิดความสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อโอกาสที่จะได้เห็นรุ้งกินน้ำหรือไม่?
เพื่อคลายข้อกังขา เธอได้ตั้งทีมวิจัยและเก็บข้อมูลรูปถ่ายสาธารณะที่ถูกอัปโหลดไปยังเว็บไซต์ Flickr โดยภาพต่างๆที่ถูกบันทึกมาเพื่อศึกษาจะถูกคัดแยกตามตำแหน่งภาพถ่าย ก่อนนำมาอ้างอิงกับแผนที่ปริมาณน้ำฝน เมฆ และมุมของดวงอาทิตย์เพื่อคำนวณหาโอกาสในการเกิดรุ้งกินน้ำในโลกปัจจุบัน
ยังไม่พอแค่นี้ ทางทีมวิจัยยังได้สร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยอิงจากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ผลที่ได้คือพวกเขาพบว่าพื้นที่ที่มีประชากรน้อย ในแถบละติจูดเหนือและระดับความสูงที่สูงมาก อย่างที่ราบสูงทิเบต จะมีโอกาสเห็นรุ้งกินน้ำเพิ่มขึ้นมากที่สุด
สะท้อนภาวะโลกร้องผ่านความงามหลังฝน
ในปัจจุบันเฉลี่ยแล้วการเกิดสายรุ้งอยู่ที่ 117 วันต่อปี และด้วยอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ คาดว่าในปี 2100 โอกาสที่จะเกิดรุ้งกินน้ำอาจเพิ่มขึ้น 4.0–4.9% พื้นที่ 66–79 % บนโลกจะเห็นรุ้งเพิ่มขึ้น ส่วนอีก21–34 % ของพื้นที่บนโลกจะเห็นรุ้งน้อยลง
ประเทศหมู่เกาะอย่างฮาวาย ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สามารถพบรุ้งกินน้ำได้บ่อยในแต่ละปี เนื่องจากภูมิประเทศที่มีลมทะเลในทุกๆวัน ก่อให้เกิดเมฆฝนอยู่บ่อยครั้ง หรือเรียกได้ว่าทุกอย่างในฮาวายล้วนเอื้อต่อการเกิดรุ้งกินน้ำ
ส่วนพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากร และมีก๊าซหนาแน่น คาดว่าจะยิ่งแห้งแล้งมากขึ้น ปริมาณฝนตกน้อยลง ซึ่งต้องทำใจยอมรับว่าในอนาคต พื้นที่เหล่านี้อาจไม่มีวันได้เห็นรุ้งกินน้ำอีกเลย
รุ้งกินน้ำ เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แสงแดดและฝนถือเป็นองค์ประกอบหลัก เมื่อละอองน้ำในอากาศหลังฝนตกกระทบเข้ากับแสงอาทิตย์จะเกิดการกระจายของแสงออกเป็นสเปกตรัมทั้ง 7 สี แต่อย่างไรก็ดีกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ล้วนส่งผลต่อสภาพอากาศและฟ้าฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ทำให้ชั้นบรรยากาศโลกอบอุ่นจนเข้าขั้นร้อน รูปแบบของเมฆและการเกิดฝน ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป
แม้ว่างานวิจัยยังไม่ได้เจาะลึกมากนักว่าการเปลี่ยนแปลงด้านความถี่ของสายรุ้งจะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของมนุษยชาติอย่างไร แต่ผลกระทบจาก Climate Change ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกแง่มุม มนุษย์และธรรมชาติทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน การเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อย่าง แสงหรือเสียงที่พวกเขาทำการศึกษาอยู่นี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลกระทบมาจาก Climate Change เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ควรได้รับความสนใจจากนักวิจัยมากขึ้น รวมถึงการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่ท้าทาย เราต้องทำให้ผู้คนตระหนักถึงธรรมชาติที่อยู่รอบตัว แล้วพวกเขาจะอยากลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องด้วยตัวเอง
ข้อมูลอ้างอิง:


