แฟชั่นจากรากหญ้า! ชุดแห่งอนาคต ตอบโจทย์ความยั่งยืน
London Design Festival หนึ่งในงานศิลปะไอเดียแหวกโลก โดยในปีนี้ผลงานที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยคือเสื้อผ้าในคอลเลคชั่น ‘Rootfull’ ที่ทุกชิ้นล้วนผลิตมาจาก ‘รากหญ้า’ โดยดีไซน์เนอร์หวังที่จะพัฒนาสิ่งทอชีวภาพแฟชั่นที่ยั่งยืนและสามารถย่อยสลายได้
London Design Festival หนึ่งในงานเทศกาลที่สร้างสีสันให้กับชาวลอนดอนและชาวโลกได้ไม่น้อย เพราะนอกจากจะมีงานศิลปะไอเดียแหวกโลก สุดแปลกแต่ตระการตามาให้รับชมแล้ว ศิลปินผู้ผลิตงานดังกล่าวยังต้องคำนึงถึงประโยชน์ในการออกแบบ และงานที่ออกมาต้องสามารถนำไปใช้ได้จริง เช่นการออกแบบเพื่อช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อน
โดยในปีนี้ Zena Holloway ในฐานะ Multi-Disciplinary Designer (MD) หรือจะเรียกได้ว่าเธอเป็นศิลปิน นักออกแบบที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์งาน ได้ออกมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์งานศิลปะทั้ง ชุดเดรส เครื่องประดับ และงานประติมากรรม แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยคงเป็นเสื้อผ้าในคอลเลคชั่น ‘Rootfull’ ซึ่งได้รับแรงบันดาลมาจากรูปทรงของปะการัง และทุกชิ้นล้วนผลิตมาจาก ‘รากหญ้า’ โดย Zena หวังที่จะศึกษาพัฒนาสิ่งทอชีวภาพแฟชั่นที่ยั่งยืนและสามารถย่อยสลายได้
Fast Fashion ว่าด้วยเรื่องความงามกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
ฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion) ถือเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมความสวยความงามที่มาพร้อมกับภัยกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งด้วยพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ เราไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่าใครๆต่างก็อยากแต่งตัวให้ดูดี ยิ่งในโลกที่เทคโนโลยีเติบโตไปไกลการได้อวดโฉมเสื้อผ้าชุดใหม่สุดทันสมัย ถือเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แต่รู้หรือไม่ว่าเสื้อผ้าที่เราใส่ถ่ายรูปอวดสังคมให้ยลโฉมไม่กี่ครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล
การผลิตเสื้อผ้าออกสู่ท้องตลาดในแต่ละครั้งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น ‘ฝ้าย’ เส้นใยที่เรานำมาใช้เพื่อถักทอเสื้อผ้า ฝ้ายเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ซึ่งจากข้อมูลของ กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund) ชี้ว่า ผ้าฝ้ายที่ผลิตเสื้อ 1 ตัวต้องใช้น้ำเพื่อปลูกถึง 2,700 ลิตร หรือเท่ากับปริมาณน้ำที่เรากินได้ถึง 3 ปี ถ้าใช้ฝ้ายผลิตกางเกงยีนส์ 1 ตัวต้องใช้น้ำ 7,500 ลิตร หรือเท่ากับปริมาณน้ำที่เรากินได้ถึง 7 ปี และในแต่ละปีอุตสาหกรรมเสื้อผ้า Fast Fashion ต้องใช้น้ำเพื่อผลิตสินค้ามากถึง 9 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร
ยังไม่หมดแค่นี้ในปี 2019 รายงานของสหประชาติระบุว่า วงการ Fast Fashion ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียกว่าร้อยละ 20 ของปริมาณน้ำเสียทั้งโลก ซึ่งปะปนไปด้วยปริมาณสารพิษนับพันชนิดที่ไม่ได้รับการบำบัดอย่างถูกต้อง และยังเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 10 เปอร์เซ็นของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก เห็นได้ชัดว่ากว่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแต่ละชนิดจะถูกผลิตออกมาได้นั้น เราต้องผลาญทรัพยากรธรรมชาติไปมากแค่ไหน แต่พวกมันกลับถูกใช้งานอย่างไม่คุ้มคุณค่า ส่วนใหญ่ถูกใช้งานเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะตลาดโลกและกระแสแฟชั่นที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่เรื่อยๆ เพื่อเกาะกระแสให้ทันกับสังคม
ปรับความคิด เปลี่ยนมุมมองกับ ‘Material Matters’
รากของพืชต่างๆล้วนมีคุณสมบัติในการช่วยกักเก็บและดูดซับคาร์บอนเป็นทุนเดิม ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับความพยายามต่อสู้กับปัญหา Climate Change ทางด้าน Zena จึงปิ๊งไอเดียในจุดนี้ เธอเพาะเมล็ดต้นวีทกราสในแม่แบบที่ทำจากขี้ผึ้ง จากนั้นใช้เวลาราว 12 วัน หน่อต่างๆจะเติบโตขึ้นราว 20 เซนติเมตร ในขณะที่บริเวณส่วนรากจะชอนไชผูกกันจนกลายเป็นสิ่งทอตามธรรมชาติ ซึ่งรากจะขยายไปตามรูปแบบของเทมเพลต ทำให้ได้รูปร่างออกมาตามที่ต้องการ ไม่ต่างอะไรจากการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของแฟชั่นที่ไม่ผลาญทรัพยากรโลก ไม่มีพลาสติกเจือปนในเส้นใย แถมยังสามารถย่อยสลายได้ตามการเวลาและการใช้งานอย่างเหมาะสม
ภายในงานนี้ได้รวบรวมผลงานจากนักออกแบบ ดีไซน์เนอร์ ที่ดีกรีความสามารถเหลือล้น รวมถึงแบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 40 แบรนด์ มาจัดแสดงเพื่อสร้างความตระหนักและปรับมุมมอง ภายใต้คอนเสป ‘Material Matters’ ซึ่งเป็นหนึ่งใน section ใหม่ของงาน London Design Festival ที่ช่วยให้เราเปลี่ยนมุมมองใหม่ในการมองวัสดุต่างๆรอบตัว บางอย่างเราอาจข้ามไป โดยไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะสามารถนำมาก่อให้เกิดประโยชน์ได้
ดั่งคำคมที่ว่า ‘If you change the way you look at things, the things you look at change : เมื่อเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งต่างๆด้วยทัศนะความคิดใหม่ ไม่ว่าสถานการณ์ หรือการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวของเรา จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป’ นิทรรศการในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่ดีเพื่อสรรหาวัสดุใหม่ๆในการต่อสู้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง


