แนวโน้ม“ชิปหาย”ครั้งใหม่ ภายใต้สงครามรัสเซีย-ยูเครน
ภายใต้ไฟสงครามรัสเซีย-ยูเครนตามมาด้วยวิกฤติการณ์มากมาย หนึ่งในนั้นคือ การขาดแคลนชิป สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด แต่ครั้งนี้อาจรุนแรงยิ่งกว่า โดยเฉพาะหากสงครามบานปลายอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีทั่วโลกเลยทีเดียว
Highlight
- สงครามรัสเซีย-ยูเครนสร้างผลกระทบในหลายมิติ ทั้งในแง่ราคาน้ำมัน การเงิน การเกษตร และล่าสุดลามมาจนถึงอุตสาหกรรมการผลิตชิป
- เดิมที ชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ อยู่ในภาวะขาดตลาดมายาวนาน ภายหลังสถานการณ์สงครามการค้า, ภัยธรรมชาติ รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้โรงงานผลิตชิพไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
- ครั้งนี้เมื่อเกิดวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครนขึ้นจึงซ้ำเติมสถานการณ์ เพราะก๊าซนีออนที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตมียูเครนเป็นผู้ส่งออกหลักทั่วโลกกว่า 70% รวมถึงแร่หายากหลายชนิดที่รัสเซียเป็นผู้ส่งออกหลัก
- นั่นทำให้บรรดาชาติตะวันตกอยู่บนทางแยกสำคัญ หากไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ อาจทำให้เทคโนโลยีการผลิตชิปของจีนแซงหน้าชาติตะวันตกทั้งหมดเลยก็เป็นได้
สงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นเรื่องที่ผู้คนพากันให้ความสนใจเป็นวงกว้าง ถึงตอนนี้หลายคนคงไม่คิดอีกต่อไปว่าสงครามในต่างแดนเป็นเรื่องไกลตัว เพราะต่อให้เกิดขึ้นในยุโรปห่างไปไกลลิบ ยังสามารถส่งผลกระทบมาถึงไทยได้ เห็นชัดจากค่าครองชีพพากันถีบตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน
แน่นอนว่าผลกระทบไม่ได้หมดแค่นั้นเราย่อมได้ยินผลกระทบที่เกิดขึ้นมาบ้าง ทั้งราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น, ค่าเงินรูเบิลผันผวนรุนแรง, ระบบการเงินการธนาคารรัสเซียถูกระงับ, การขาดแคลนของอาหารสัตว์และปุ๋ยเคมี สิ่งเหล่านี้ทยอยสร้างผลกระทบให้เราต่อเนื่อง ซ้ำเติมจากวิกฤติเศรษฐกิจเดิมที่ยังไม่ทันฟื้นตัว
นอกจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นอีกหนึ่งเรื่องที่เริ่มทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญกังวลคือ ปัญหาการขาดแคลนชิป หนึ่งในปัญหาในแวดวงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทำเอาระส่ำไปทั่วโลก ไม่ทันได้หายใจหายคอไฟสงครามก็เข้ามาตอกย้ำวิกฤติให้ร้ายแรงขึ้นกว่าเก่า
แต่ก่อนอื่นคงต้องอธิบายกันก่อนว่าวิกฤติชิปขาดแคลนเป็นแบบไหนและสร้างผลกระทบเช่นไรบ้าง
การขาดแคลนชิป วิกฤตการณ์ต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราประสบปัญหาชิปขาดแคลน โดยเริ่มจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน สองมหาอำนาจพากันแสดงความเป็นศัตรูเชิงเศรษฐกิจ โดยกีดกันทางการค้ารูปแบบต่างๆ เช่น ตั้งกำแพงภาษี ดำเนินคดีผู้บริหารบริษัทใหญ่ จนถึงการสั่งแบนบริษัทไอทีรายใหญ่อย่าง Huawei จนสหรัฐฯต้องพึ่งพาสินค้าในประเทศมากขึ้น
ประเด็นสำคัญทำให้การขาดแคลนชิปขยายเป็นวงกว้างคือ การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้คนต้องล็อกดาวน์อยู่บ้าน เพิ่มความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นอย่างมาก สวนทางกับอัตราผลิตที่ได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้เท่าเดิม ซ้ำร้ายเมื่อมีภัยธรรมชาติเข้าซ้ำเติมจึงไม่แปลกหากสินค้าจะขาดตลาด
เหตุการณ์ที่เกิดทำให้กำลังการผลิตของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดมีกำลังการผลิตลดลง ทั้งชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเกม ไปจนรถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งราคาสินค้ายังสูงขึ้นเนื่องจากจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด นำไปสู่ปัญหานานัปการทั้งอุปกรณ์ไม่เพียงพอในการใช้งาน หรือการหวังเก็งกำไรของพ่อค้าคนกลาง
แน่นอนปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ชาติจำนวนมากเริ่มรู้ตัวว่า พวกเขาไม่สามารถฝากอุตสาหกรรมไอทีไว้ในมือคนอื่น เริ่มมีการลงทุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ ทั้งสหรัฐฯ, จีน, ชาติในยุโรป หรือแม้แต่ญี่ปุ่นเอง ล้วนผลักดันสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเองเพื่อบรรเทาปัญหา หันมาเร่งสร้างความมั่นคงให้แก่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศแทน
น่าเสียดายตรงทั้งหมดอยู่ในขั้นเริ่มต้นกว่าจะสามารถทำได้จริงต้องใช้เวลา ในเวลาอันสั้นคงไม่สามารถคลี่คลายปัญหาในเร็ววัน กระนั้นเมื่อการระบาดของโควิดเริ่มซาสถานการณ์ก็เริ่มกลับมาดีขึ้น กำลังการผลิตกลับมาเท่าเก่าปัญหาจึงเริ่มทุเลาไปบ้าง
แต่สถานการณ์ที่เริ่มชื่นมื่นอาจกลับมาเลวร้ายอีกครั้งภายหลังการเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนในปัจจุบัน
วิกฤติระลอกใหม่ในภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ผู้คนอาจคิดว่าใจความสำคัญภายใต้สงครามรัสเซีย-ยูเครนคือการขยับขึ้นของราคาน้ำมัน รวมถึงสินค้าหลายชนิดที่อาจกระทบความเป็นอยู่โดยตรงทั้งข้าวสาลีและปุ๋ยเคมี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของทั้งสองชาติที่เราต้องพึ่งพา เมื่อเกิดการขาดตอนไม่สามารถผลิตหรือส่งมาขายในไทยได้จึงเกิดความขาดแคลนอย่างช่วยไม่ได้ แต่ยังมีสินค้าบางประเภทที่ยังไม่ได้รับการพูดถึงมากนักคือ ก๊าซนีออน
อาจมีผู้สงสัยว่าก๊าซนีออนเกี่ยวข้องอะไรกับการผลิตชิป แต่การใช้เลเซอร์ในการแกะแผงวงจร จำเป็นอย่างยิ่งในการใช้งานก๊าซนีออนเพื่อกัดแผงวงจรออกมาเป็นลวดลายตามที่กำหนด ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญและถูกใช้งานมากถึง 90% ระหว่างขั้นตอนการผลิตชิปเลยทีเดียว
ส่วนแบ่งการตลาดปัจจุบันยูเครนเป็นผู้ผลิตหลักในการป้อนก๊าซนีออนสู่โลก โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดไว้มากถึง 70% ก๊าซนีออนที่ใช้งานในสหรัฐเกือบทั้งหมดล้วนมีการผลิตมาจากยูเครน เมื่อการส่งออกขาดตอนเพราะเกิดสงครามย่อมทำให้การส่งออกขาดตอน ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อการอุตสาหกรรมการผลิตชิป
ในระยะสั้นเราจะยังไม่เห็นผลกระทบจากเรื่องนี้ ราคาของก๊าซนีออนไม่มีการถีบตัวรุนแรงเหมือนครั้งรัสเซียบุกไครเมียในปี 2014 ที่ราคาก๊าซนีออนดีดไปถึง 600% สาเหตุมาจากเริ่มมีการปรับตัวนำเข้าก๊าซนีออนมาจากแหล่งอื่น หลายบริษัทมีการสำรองไว้ล่วงหน้าทำให้ในระยะสั้นยังคงไม่เห็นผลกระทบนัก แต่ก็ขึ้นกับเวลาว่าสงครามจะยาวนานขนาดไหน
อีกทั้งแม้สงครามจะสิ้นสุดในเร็ววันเรื่องต้องตั้งคำถามไม่แพ้กันคือ โรงงานผลิตก๊าซนีออนและระบบขนส่งจะถูกทำลายไปแค่ไหน? จะต้องใช้เวลาซ่อมแซมมากเท่าไหร่? รวมถึงจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้หรือไม่? เมื่อความเสียหายภายในดินแดนยูเครนทวีความร้ายแรงขึ้นทุกวัน อย่างดีที่สุดก็ต้องใช้เวลาซ่อมแซมภายหลังสิ้นสุดสงครามอีกหลายเดือน
เรื่องจะซับซ้อนยิ่งกว่าหากรัสเซียเป็นฝ่ายชนะและถือกรรมสิทธิเหนือก๊าซนีออน การคว่ำบาตรทำร้ายเศรษฐกิจรัสเซียอย่างรุนแรง ถึงตอนนั้นการคว่ำบาตรทางการค้าต่อรัสเซียจะถึงจุดต้องตั้งคำถามอีกครั้ง เช่นเดียวกับท่าทีของรัสเซียที่จะยินดีกลับมาสานสัมพันธ์ต่อชาติตะวันตกแค่ไหน? จะยังยินดีส่งออกก๊าซให้ในปริมาณเท่ายูเครนในอดีตหรือไม่?
นอกจากนี้ยังมีประเด็นของเหมืองแร่ที่มีส่วนสำคัญในการผลิตชิป เช่น Palladium ที่มีผู้ส่งออกในตลาดโลกรายสำคัญคือรัสเซีย ครองส่วนแบ่งทางการตลาดโลกไว้กว่า 45% อีกทั้งเริ่มขยับราคาขึ้นไปกว่า 50% นับแต่รัสเซียเริ่มส่งกำลังมาซ้อมรบใกล้ยูเครน รวมถึงแร่ชนิดอื่นที่มีความสำคัญในการผลิตชิปอย่าง Xenon และ Krypton ก็เริ่มขาดตลาดเช่นกัน
ผลกระทบที่ตามมาภายใต้การขาดตลาด
แน่นอนว่าเมื่อผู้ส่งออกรายหลักก๊าซนีออนอย่างยูเครนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะเมื่อเป็นรายใหญ่ครองส่วนแบ่งการตลาดมาก ย่อมทำให้การผลิตสินค้าชะงักจนอาจจะขาดตอน นำไปสู่สถานการณ์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์รวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้าขาดตลาด
อีกทั้งสาเหตุในครั้งนี้ไม่ได้เป็นปัญหาจากแหล่งผลิตแบบของเดิมแต่ครั้งนี้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ความพยายามในการแก้ปัญหาจากการขยายโรงงานนอกจากไม่ช่วยยังกลายเป็นการซ้ำเติม เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบที่ใช้นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณการป้อนสู่ตลาดกลับลดลง มีแต่จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาครั้งนี้ให้ร้ายแรงขึ้นไปอีก
ทางเลือกที่เป็นไปได้ในปัจจุบันขึ้นกับสถานการณ์สงครามในรัสเซีย ในกรณีที่สามารถจบลงโดยเร็วด้วยชัยชนะของยูเครน อาจจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินต่างชาติจำนวนมหาศาลในการบูรณะประเทศ รวมถึงลงทุนจำนวนมากเพื่อซ่อมแซมสายการผลิตและระบบขนส่งก๊าซให้กลับมาใช้งานอีกครั้ง
ในกรณีที่สงครามจบลงรวดเร็วด้วยชัยชนะของรัสเซีย เป็นไปได้สูงว่าการบูรณะซ่อมแซมทั้งหมดจะเกิดขึ้นด้วยเงินทุนจากรัสเซีย นั่นจะทำให้โอกาสกลับไปสานสัมพันธ์ของชาติตะวันตกเป็นไปได้ยาก อาจต้องเริ่มยอมผ่อนปรนการคว่ำบาตรหันมาคบค้ากันเหมือนเก่า ทั้งนี้อาจต้องดูเงื่อนไขจากทางรัสเซียด้วยเช่นกันว่ายินดีติดต่อซื้อขายด้วยขนาดไหน
ทางเลือกสุดท้ายกรณีไม่สามารถตกลงกับรัสเซียได้โดยสิ้นเชิง หรือสงครามยืดเยื้ออกไปยาวนาน อาจต้องมีการมองหาแหล่งผลิตก๊าซนีออนใหม่ในการป้อนเข้าสู่ระบบ อาจเป็นทางเลือกเดียวของบรรดาชาติตะวันตกในการลดผลกระทบนับจากนี้ แม้จะดูเป็นเรื่องยากเพราะยูเครนเคยเป็นผู้ส่งออกก๊าซรายใหญ่สุดในโลก ส่วนนี้รวมถึงแร่หายากชนิดต่างๆ ที่ชาติตะวันตกและพันธมิตรอาจต้องหาลู่ทางใหม่ไปพร้อมกัน จนเราอาจต้องยอมรับว่านับจากนี้โฉมหน้าของโลกอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามเป็นไปได้สูงว่าจากนี้ สินค้าที่จำเป็นต้องใช้ชิปคุณภาพสูงจะขาดตลาดยิ่งขึ้น ส่งผลให้สินค้าไอทีที่ป้อนเข้าสู่ตลาดมีการขยับราคาอย่างช่วยไม่ได้ ในระยะยาวอาจทำให้เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของชาติตะวันตกต้องหยุดชะงัก เนื่องจากบริษัทจำนวนมากไม่สามารถผลิตสินค้าป้อนสู่ตลาด
ส่วนนี้ตรงข้ามกับจีนที่ไม่ได้เข้าร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดต่อสงคราม ทำให้จีนสามารถทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ได้รับผลกระทบนัก อีกทั้งในกรณีรัสเซียได้รับชัยชนะในสงครามกุมทรัพยากรในยูเครนได้ การขยับเข้ามาใกล้ชิดกว่าเก่าของสองมหาอำนาจ อาจช่วยให้จีนได้ใช้งานทรัพยากรได้ดังเดิมเหมือนก่อนเกิดสงคราม รวมถึงขยายการลงทุนในยูเครนได้อีกด้วย
ไม่แน่ว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีแทนที่ชาติตะวัตกในอนาคตก็เป็นได้
ที่มา
https://www.nationtv.tv/original/378858485
https://interestingengineering.com/russia-invasion-ukraine-neon-chip-shortage
https://www.tnnthailand.com/news/wealth/105097/


