Did you know? โนโรไวรัส ภัยเงียบที่กำลังแพร่ระบาดภายในประเทศ

          ปัจจุบันการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนล้วนอยู่ในความสนใจของผู้คน แม้อัตราการเสียชีวิตจะลดลงแต่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงสร้างความหวาดหวั่นเป็นวงกว้าง นั่นทำให้เชื้อโรคอีกชนิดที่กำลังแพร่ระบาดในภาคตะวันออกของประเทศไม่ได้รับความสนใจนัก

รู้จักกับโนโรไวรัส หนึ่งในโรคอันตรายสำหรับเด็ก
          โนโรไวรัส(Norovirus) ถือเป็นหนึ่งในเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในภาคตะวันตกของไทย จากอัตราการเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการท้องร่วงเป็นจำนวนมาก โดยผู้ติดเชื้ออาการหนักหลายคนล้วนเป็นเด็กเล็ก มักพบได้บ่อยในฤดูหนาวซึ่งบางปีมักมีการแพร่ระบาดขนาดใหญ่ สร้างความกังวลให้แก่พ่อแม่ผู้ปกครองค่อนข้างมาก

 

          เชื้อนี้สามารถติดได้ผ่านทั้งทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน โดยเฉพาะอาหารบางชนิดที่ปรุงไม่สุกหรือผักผลไม้ที่ไม่ผ่านการทำความสะอาดดีพอ น้ำดื่มที่ไม่สะอาด ไปจนถึงการแพร่กระจายไปในอากาศจากการหายใจสูดเอาไอจากของเสียจากผู้ป่วยเข้าไปในร่างกาย นั่นทำให้เชื้อนี้แพร่กระจายได้ง่ายมากสำหรับผู้ไม่ระวังตัว

 

          กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อนี่ที่สุดคือเด็กเล็ก นอกจากภูมิคุ้มกันกับร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์พอรับมือเชื้อไวรัส พฤติกรรมของเด็กมักชอบนำนิ้วมือหรือหยิบจับสิ่งของรอบตัวเข้าปาก ทำให้เมื่อเกิดการติดเชื้อโนโรไวรัสในโรงเรียนจะสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังและได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง

 

อาการของผู้ติดเชื้อโนโรไวรัสจะเป็นได้ตั้งแต่

• กระเพาะอาหารอักเสบ
• คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง
• ปวดมวนท้อง
• ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
• มีไข้ต่ำ
• ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว
• อ่อนเพลีย
• เกิดความผิดปกติในการดูดซึมน้ำตาลและไขมัน

          โดยมากผู้ติดเชื้อมักมีอาการไม่รุนแรงนักนอกจากความรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่  จำเป็นต้องได้รับการชดเชยเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ในภาวะช็อก อาการเหล่านี้จะเกิดได้ง่ายเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงทั้งจาก ผู้สูงอายุ เด็ก รวมถึงผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

 

          การรักษาเมื่อเกิดการติดเชื้อยังไม่มียาที่ใช้ในการกำจัดเชื้อนี้แบบเฉพาะเจาะจง มีเพียงการรักษาตามอาการประคับประคองให้ร่างกายเกิดการฟื้นตัว ผู้ป่วยส่วนมากแค่กินยาแก้ปวดท้อง คลื่นไส้ และเกลือแร่ก็เพียงพอ อาการจะทุเลาลงในเวลาประมาณ 3-4 วัน แต่หากอาการหนักจำเป็นต้องนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการวินิจฉัยจากแพทย์ต่อไป

ข้อควรระวังเกี่ยวกับโนโรไวรัส ความทนทานที่มากกว่าเชื้อโควิด
          ในส่วนการป้องกันน่าเสียดายในปัจจุบันยังไม่มีการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโดยตรง ทางที่ทำได้มีเพียงการระมัดระวังตัว กินอาหารปรุงสุก ล้างผักผลไม้ที่ใช้ในการบริโภคให้สะอาด รวมถึงระมัดระวังการใช้พาชนะและรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น เพราะเราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมีเชื้อปนเปื้อนมาในมื้อนั้นหรือไม่

 

          สิ่งหนึ่งที่โนโรไวรัสแตกต่างจากเชื้อชนิดอื่นคือความทนทานต่อน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป แอลกอฮอล์ที่เราใช้ในการล้างมือในทุกวันนี้ไม่สามารถฆ่าโนโรไวรัสได้ ด้วยตัวเชื้อไม่มีเปลือกหุ้มแบบเชื้อทั่วไปทำให้มีความทนทานทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและน้ำยาฆ่าเชื้อมาก หากต้องการทำความสะอาดให้หมดจดจำเป็นต้องใช้สารประกอบที่มีส่วนผสมจากคลอรีน เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ

          ทางเดียวที่จะแน่ใจได้ว่าเราจะปลอดภัยจากโนโรไวรัสคือ การล้างมือสม่ำเสมอด้วยสบู่เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 15วินาที ทำความสะอาดวัตถุดิบก่อนนำมาประกอบอาหารหรือรับประทานทุกครั้ง ใช้น้ำสะอาดในการบริโภค รวมถึงควรทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ของผู้ป่วย เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น

 

          โนโรไวรัสอาจเป็นโรคที่ดูแล้วไม่ร้ายแรงมีความใกล้เคียงอาหารเป็นพิษ อีกทั้งสามารถพักฟื้นหายได้เองตามธรรมชาติก็จริง แต่เราไม่สามารถประมาทการแพร่ระบาดของเชื้อชนิดนี้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับคนที่มีกลุ่มเสี่ยงภายในบ้านที่หากติดเชื้อ อาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำและอ่อนเพลียจนนำไปสู่อันตรายได้
ยิ่งสถานการณ์ระบาดของโควิดในตอนนี้ทำให้การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเรื่องเสี่ยง ทางที่ดีเราควรระมัดระวังตัว รักษาความสะอาด ลดโอกาสในการติดเชื้อหรือเจ็บป่วยลงให้น้อยที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมาจนอาจเป็นอันตรายทั้งกับเราและคนรอบข้าง

--------------------

ที่มา

• https://www.bumrungrad.com/th/conditions/norovirus-infection
• https://www.bangkokpattayahospital.com/th/healthcare-services/internal-medicine-center-th/medicine-articles-th/item/1116-norovirus-th.html
• https://www.posttoday.com/social/general/672539
• https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/965