เสียววาบ “รัฐประหารเงียบ” ปปช.ไต่สวน“ปรับงบ-แจกเงิน สส.” ผิด!ไร้รัฐบาล-ล้างการเมืองยกชุด
รัฐบาลแพทองธารเผชิญแรงกดดันจาก “รัฐประหารเงียบ” ที่ก่อตัวจากคดีแปรญัตติงบประมาณ เสี่ยงถูกล้างบางทั้ง ครม.–ส.ส.–ส.ว. หากศาลวินิจฉัยว่ามีมูลผิดรัฐธรรมนูญ
สภาพรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ตอนนี้ ดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงเคราะห์ซ้ำ กรรมซัด วิบัติซ้อน จนผู้คนต่างเริ่มวิตกกังวลในเรื่องความมีเสถียรภาพ
ท่ามกลางกระแสข่าวซุบซิบกันในวงการทหาร ความมั่นคงว่า อาจจะเกิด “รัฐประหารเงียบ”ขึ้นมาได้ หากยังแก้ปมการเมือง เศรษฐกิจ ไม่ได้
สถานการณ์ตอนนี้ ประเด็น “รัฐประหารเงียบ” ที่อาศัยข้อกฎหมายเป็นเครื่องมือ กำลังคืบคลานมาคุกคามรัฐบาลแพทองธาร อย่างเงียบเชียบ ชนิดที่เผลอเมื่อใด หลุดจากอำนาจเมื่อนั้น
ในขณะที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกาลาโหม ภูมิธรรม เวชยชัย กำลังสาละวนกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่สาละวันเตี้ยลง “สัญญาณที่สะท้อนความอ่อนไหวในเชิงอำนาจ” ก็โผล่ออกมาให้เห็นชัดเจน โดดเด่นมากขึ้น
สัญญาณแรก เป็นเรื่องกลิ่นอายของอำนาจ เมื่อคราวการประชมครม.วันที่ 10 มิถุนายน 2568 นั้น คงต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ได้เลยว่า ไม่เคยปรากฎเหตุเช่นนี้ เมื่อรัฐมนตรีไม่เข้าร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรีแพทองธารมีมากถึง 7-8 คน เป็นรัฐมนตรีจากพรรคร่วมถึง 5 คน
รัฐมนตรีจากภูมิใจไทย 3 คนลาประชุม “พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน-ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อุดมศึกษาฯ-สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ” เข้าประชุมสายอีก 1 คน
รัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติ 2 คน “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน” เข้าทำเนียบแต่ไม่เข้าประชุม “สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์” ลาประชุม
สัญญาณและกลิ่นการเมืองแบบนี้.... ไม่ดีเอาเสียเลยสำหรับ “นายกรัฐนตรีแพทองธาร”!!!
สัญญาณที่สอง เป็นเรื่องร้อนทางการเมืองที่อาจนำมาซึ่งการ “รัฐประหารเงียบ” ผ่านยุทธวิธีพักการทำหน้าที่และอาจพ้นจากความเป็น ส.ส.-รัฐมนตรี !!!
4 มิถุนายน 2568 ป.ป.ช.มีมติรับเรื่อง “สืบสวนไต่สวน การทุจริตแผนการใช้งบประมาณโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 มูลค่า 51,584 ล้านบาท” โดยจัดแบ่งงบให้กับส.ส.เป็นรายหัวๆละ 30-50 ล้านบาท ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 114 .....นี่คือรัฐประหารเงียบที่น่ากลัว
คดีนี้ มีผู้ร้องเรียนกล่าวหาต่อ ปปช.ในเดือนเมษายน 2568 ว่า ในการจัดทำโครงการกว่า 28,990 โครงการนั้น มีการจัดสรรงบให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รายละ 50 ล้านบาท โดยเฉพาะ ส.ส.เขตในภาคอีสาน เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
หนังสือร้องเรียนบอกว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ มีการประสานงานวางแผนกันแบบครบวงจรตั้งแต่การตั้งเรื่องของบประมาณ การจัดสรรงบให้เป็นรายคนๆละ 50 ล้านบาท
ชุดข้อมูลของคำร้อง ระบุว่า มีการให้ส.ส.เป็นผู้เดินเรื่อง ตั้งงบ โครงการ จากนั้นให้นำโครงการมาส่งให้ นายจักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นผู้กลั่นกรองคำขอในส่วนการเมือง โดยมีนายสาโรจน์ หงษ์ ชูเวช อดีตเหรัญญิกพรรคเพื่อไทย และนายพิษณุ หัตถสงเคราห์ เป็นผู้คุมบัญชีคำของบประมาณดังกล่าวอีกชั้น โดยมีนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักบประมาณ เป็นคนพิจารณากลั่นกรองในรายละเอียด
ทั้งนี้ พื้นที่ต่างๆที่ได้รับงบประมาณจำนวนไม่เท่ากัน บางพื้นที่จะได้งบ 30 ล้านบาท บางพื้นที่จะได้งบ 100 ล้านบาท
คำร้องในคดี สส.แบ่งงบประมาณรายละ 30-50 ล้านบาท เดินมาอย่างรวดเร็วกว่าที่ใครๆจะคาดคิด เพราะตาม พรบ.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาตรา 88 กำหนดว่า “เมื่อความปรากฎต่อ ป.ป.ช.หรือได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รัฐ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสี่ ให้ ป.ป.ช.สอบสวนโดยพลัน”
และเมื่อ ปปช.เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าว “มีมูล” ให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ขอบอกว่า สัญญาณที่สองนี้ ถือว่าอันตรายล่อแหลมอย่างยิ่ง ต่อรัฐบาลแพทองธาร เพราะในรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 นั้นระบุว่า.....
ในการพิจารณาร่างกฎหมายการเงิน ส.ส.จะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้ และไม่สามารถแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ไปมีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย
หากเห็นว่า มีการกระทำการดังกล่าว สามารถเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาและต้องวินิจฉัยภายใน 15 วัน
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ผิดจะสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.หรือ ส.ว.ทันที และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
ถ้าเป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรี เป็นผู้กระทำการ หรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้ผู้กระทำการดังกล่าว ต้องรับผิดชดใช้เงินงบประมาณก้อนนั้นคืน พร้อมด้วยดอกเบี้ยด้วย
สาเหตุที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แบบนี้ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแปรญัตติเอางบประมาณไปลงพื้นที่ของตัวเอง
เหมือนที่เคยมีในอดีต เช่น การนำงบไปลงในการสร้างศาลา สนามฟุตบอล สะพาน เพื่อหาคะแนนนิยมโดยใช้เงินหลวง ฯลฯ
ประเด็นนี้ แม้นายประเสริฐ จันทร์รวงทอง ได้ชี้แจงว่า ในฐานะประธานได้ลงนามให้เข้า ครม. ซึ่งยอดเงินดังกล่าวถูกตัดเหลือ 7,000 ล้านบาท และสำนักงบฯก็นำไปกลั่นกรอง ว่าโครงการใดมีความจำเป็นเร่งด่วน โครงการไหนต้องรีบทำ เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน ขอยืนยันว่า ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับ ส.ส. แต่คำชี้แจงจะมีน้ำหนักแค่ไหนต้องดูจากดุลพินิจของ ปปช.เป็นหลัก
รัฐบาลแพทองธารจึงตกอยู่ในสถานะตั้งรับจากนิติสงครามดอกนี้!
“สัญญาณรัฐประหารเงียบ” ชุดที่สาม ที่กำลังคุกคามรัฐบาลแพทองธาร และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชนิดที่หลายคนหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะอาจทำให้ “รัฐบาล-รัฐสภา”หายวับไปแบบฉับพลันได้ทันที
ต้นเหตุเกิดจากการที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายสมชาย แสวงการ นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ และนายนิติธร ล้ำเหลือ นักเคลื่อนไหว ไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้พิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถอดถอน คณะรัฐมนตรี สส.และ สว. หลังพบว่าการกระทำผิดฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และมาตรา 88 ของ พรป.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต
กลุ่มนายชาญชัย ระบุว่า ได้ไปตรวจพบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 หลังจากผ่านวาระหนึ่งไปแล้ว ครม.กลับมีมติตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่เป็นส่วนของการเงินชำระเงินต้นของเงินกู้ และเป็นเงินกู้ตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว
....แต่กลับมีการปรับลดตัดและนำเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท ที่ปรับลดไปเป็นงบกลางเพื่อใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เติมเงิน 10,000 บาท ดิจิตอล วอลเล็ต
คดีนี้ มีสส. 309 คน และสว.อีก 175 คน ที่ “ร่วมโหวตผ่าน” งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ในวาระ 2 และ 3 ยังมีคณะกรรมาธิการงบประมาณปี 2568 อีกร่วม 72 คน ที่โดนบ่วงกรรมทางนิติสงคราม
ดอกสองที่ตอกย้ำเข้าไปอีกคือ ในชั้นการแปรญัตติงบประมาณของกรรมาธิการ ได้นำเงินจากงบกลาง 1,256 ล้านบาท มาเพิ่มให้กองทุนเพื่อผู้ที่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ถือเป็นการกระทำผิดมาตรา 144 วรรค 2 ที่ห้าม สส.หรือ สว.แปรญัตติงบเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
คณะนายชาญชัย จึงขอให้ ป.ป.ช. เร่งตรวจสอบหากเห็นว่ามีมูลก็ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามวรรค 3 ของมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ
ระเบิดชุดนี้จึงเป็นนิติสงครามและอาจทำให้เกิดรัฐประหารเงียบชุดใหญ่ที่สุดในทางการเมือง
เพราะมาตรา 144 กำหนดชัดว่า ในการพิจารณางบประมาณ ห้ามไม่ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปในทาง “เพิ่มเติม” งบ หากฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มงบประมาณขึ้นมา ก็จะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของฝ่ายบริหาร
ฝ่ายนิติบัญญัติต้องอยู่ใน “หลักการห้ามฝ่ายนิติบัญญัติในการริเริ่มการจ่ายเงินแผ่นดิน” ซึ่งป้องกันไม่ให้สมาชิกรัฐสภาเข้าไปมีส่วนไม่ว่าจะในทางตรงหรือในทางอ้อมต่องบประมาณรายจ่ายประจำปี
ฝ่ายนิติบัญญัติ มีหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายที่ฝ่ายบริหารเสนอมาเท่านั้น หากแปรญัตติเพิ่มเติม จะเป็นการแทรกแซงและสร้างภาระเพิ่มเติมให้แก่ฝ่ายบริหาร
หน้าที่ของรัฐสภา จึงมีเพียงแค่ตรวจสอบว่า รายการงบประมาณใด ๆ ที่ไม่คุ้มค่า ไม่เหมาะสม และทำการ “ปรับลด” ได้เท่านั้น
รัฐธรรมนูญห้าม ไม่ให้ปรับลด 3 เรื่อง ได้แก่
- เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
- ดอกเบี้ยเงินกู้
- เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย เช่น หมวดเงินเดือนข้าราชการ
ดังนั้น ถ้าปปช.เห็นว่ามีมูล และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “เป็นการกระทำความผิด” จะเป็นการล้างบางพรรคการเมืองแทบทุกพรรคเลยทีเดียว เพราะส.ส.+สว.ที่ร่วมแปรญัติจะต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.หรือ ส.ว.ทันที และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วย
ประเด็นนี้ นายกฯแพทองธาร เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง แต่ทำได้แค่หาเหตุผลมาชี้แจงต่อ ปปช.และศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตอนนี้ครอบคลุมไปด้วย “BLUE Connection”
ฤทธิ์เดชรัฐประหารเงียบชุดนี้ แผ่ขยายครอบคลุมไปตั้งแต่ ครม.+รัฐบาล ชุดของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จนถึงชุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นิติสงครามชุดนี้ กำลังกลายเป็นรัฐประหารเงียบในทางการเมืองของรัฐบาลแพทองธาร ที่ต้องจัดกระบวนทัพในการจัดการต่อสู้คดี
มิเช่นนั้น อาจพ้นตำแหน่งไปแบบ ไม่ต้องใช้กำลังทหาร!!!