วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ เปิดจุดอ่อนรัฐไทย บทเรียนสู่การปฏิรูปใหญ่
ภัยครั้งประวัติศาสตร์ในหาดใหญ่ไม่เพียงทำลายเศรษฐกิจใต้ ยังสะท้อนปัญหาบริหารภัยพิบัติของไทยทั้งระบบ รัฐบาลถูกบีบให้ปรับยุทธศาสตร์ฟื้นฟูและป้องกันใหม่ทั้งหมด
KEY
POINTS
- มหาอุทกภัยที่หาดใหญ่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรงกระทบทั้งภูมิภาคภาคใต้ ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติท้องถิ่น
- วิกฤตการณ์ได้เปิดโปงจุดอ่อนในการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาล ทั้งระบบเตือนภัย การขาดเอกภาพในการสั่งการ (Single Command) และช่องว่างความเชื่อมั่นกับประชาชน
- เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ว่ามาตรการเยียวยาเฉพาะหน้าไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อรับมือภัยพิบัติในอนาคต
มหาอุทกภัยที่พัดถล่มจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะ “หาดใหญ่–สงขลา” ไม่เพียงกวาดล้างชุมชน ธุรกิจ และสาธารณูปโภค หากยังเปลี่ยนภูมิทัศน์เศรษฐกิจของภาคใต้ทั้งภูมิภาคไปอย่างสิ้นเชิง น้ำระดับสามเมตรที่ขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงได้เผย “ความจริงอันโหดร้าย” ว่าระบบเตือนภัยและการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยยังไม่พร้อมรับมือปรากฏการณ์สุดขั้วของยุคโลกเดือดอีกต่อไป
ความรุนแรงที่เกินกว่าคาดการณ์: เศรษฐกิจใต้กระทบทั้งระบบ
หาดใหญ่ เมืองเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของภาคใต้ ถูกน้ำท่วมแบบฉับพลันจนหลายพื้นที่มิดหลังคา ตลาดกิมหยง–หัวใจการค้า ถูกทำลายแทบทั้งย่าน ความเสียหายไม่ได้จำกัดเฉพาะร้านค้าและบ้านเรือน แต่ลามถึงธุรกิจนำเข้า–ส่งออก โรงแรม คลังสินค้า และโครงข่ายการเดินทางของทั้งภูมิภาค
เศรษฐกิจสงขลาดึง GDP ใต้กว่า 3% และมีบทบาทเป็น “ศูนย์กลางซัพพลายเชน” ทั้งปัตตานี พัทลุง และนราธิวาส หากหาดใหญ่ล้มทั้งเมือง ห่วงโซ่เศรษฐกิจใต้จะชะงักตามเป็นโดมิโน
น้ำท่วมครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ภัยพิบัติท้องถิ่น แต่คือ “ภัยเศรษฐกิจระดับภูมิภาค”
รัฐบาลอนุทินเผชิญแรงกดดันหนักที่สุดเสียงวิจารณ์ที่หนีไม่พ้น
รัฐบาลอนุทินเผชิญแรงกดดันหนักที่สุดตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง นายกฯ ลงพื้นที่หาดใหญ่หลายครั้ง แต่ยิ่งลงพื้นที่ เสียงประชาชนยิ่งดังขึ้นทั้งคำชื่นชมและคำวิจารณ์ที่รุนแรงถึงการบริหารงานที่ขาดเอกภาพ
นายกรัฐมนตรีได้ยอมรับ “ความบกพร่องเชิงระบบ” ทั้งในส่วนท้องถิ่น (เทศบาล–อบจ.) ส่วนจังหวัด (ผู้ว่าฯ–ฝ่ายความมั่นคง) และส่วนกลาง โดยยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ระบบ Single Command ไม่เข้มแข็งเหมือนช่วงโควิด”ในอีกด้าน พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคเพื่อไทยโจมตีหนักว่า
“รัฐบาลล้มเหลวซ้ำซาก ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนจากโควิด”
ขณะเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากได้รับการแจ้งเตือน Cell Broadcast จริง แต่ยังไม่เชื่อว่าฝนจะหนักถึงขั้นท่วมทั้งเมือง จึงไม่อพยพทันเวลา ปรากฏการณ์นี้ชี้ชัดว่า “ช่องโหว่ความเชื่อมั่น” ระหว่างรัฐกับประชาชนยังลึกและกว้างอย่างน่ากังวล
มาตรการเยียวยาเร่งด่วน: อัดมาตรการการเงิน–ภาษี–ชดเชย
รัฐบาลรีบออกชุดมาตรการฉุกเฉิน 8 ข้อ ตั้งแต่พักหนี้ 1 ปี เงินกู้เพื่อการยังชีพและซ่อมบ้านแบบปลอดดอกเบี้ย ไปจนถึง
- เงินชดเชย 9,000 บาทต่อครัวเรือน
- เยียวยาผู้เสียชีวิต 2 ล้านบาท (เฉพาะพื้นที่ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน–สงขลา)
- บังคับบริษัทประกันจ่ายสินไหมเร็วขึ้น
- มาตรการพิเศษเพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs
แม้เป็นการอัดฉีดแรงเพื่อประคองประชาชน แต่คำถามสำคัญคือ เพียงพอหรือไม่ เมื่อหาดใหญ่ต้องฟื้นเมืองที่เสียหายเกือบทั้งโซนเศรษฐกิจ
สาธารณูปโภคพังทั้งระบบ: น้ำ–ไฟ–สัญญาณ และภูเขาขยะหลังน้ำลด
งานหนักที่สุดหลังน้ำลดคือการฟื้นฟูสาธารณูปโภค ไฟฟ้ากลับมาได้เร็วที่สุด แต่ระบบประปายังทำงานได้เพียง 45% เพราะท่อแตก–โคลนล้น–ระบบปั๊มเสียหาย
อีกภาระมหึมาคือ “ภูเขาขยะหลังน้ำท่วม” ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ ซากสัตว์ รถยนต์กว่า 8,000 คันที่ต้องยกออกจากถนน ประชาชนย้ายเองไม่ได้ รัฐต้องจัดกำลังเข้าลาก
หาดใหญ่กำลังสู้กับทั้ง “ขยะมหาศาล–โครงสร้างพัง–เศรษฐกิจหยุดนิ่ง” พร้อมกัน
โจทย์ใหญ่อนาคต: ฟื้นหาดใหญ่ต้องคิดใหม่ทั้งระบบ ไม่ใช่ซ่อมตามรอยเดิม
รัฐบาลกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อออกแบบ “แผนฟื้นฟูหาดใหญ่ครั้งใหญ่ที่สุด” เพราะการสร้างเมืองหลังมหาอุทกภัยต้องคิดทั้ง
- ระบบผังเมือง
- คลองระบายน้ำ
- คลังพักน้ำ
- ระบบเตือนภัย
- สาธารณูปโภคใหม่ที่รองรับน้ำท่วมขนาด 300 มม./วัน
- โมเดลบริหารภัยพิบัติแบบเสถียร (War Room–Single Command)
นี่คือเวลาที่ประเทศไทยต้องยอมรับว่า การซ่อมแซมเฉพาะหน้าไม่พออีกต่อไป หากไม่สร้าง “โครงสร้างใหม่” ความเสียหายครั้งนี้จะเกิดซ้ำและหนักกว่าเดิม
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


