กองทัพ–นายกฯอนุทิน โชว์ท่าทีแข็งกร้าวด่านชายแดนไทย–กัมพูชา
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาตึงเครียด กองทัพเร่งสร้างรั้ว ปิดด่าน ใช้ ROE ป้องกัน ขณะนายกฯ อนุทินหนุนทัพเต็มที่ ชูการทูตแข็งกร้าวเพื่ออธิปไตยไทย
KEY
POINTS
- กองทัพใช้มาตรการทางทหารที่เข้มงวดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงการปิดด่าน สร้างรั้ว และเพิ่มการลาดตระเวนเพื่อปกป้องอธิปไตย
- นายกรัฐมนตรีอนุทินให้การสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ โดยมอบอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจทางยุทธการและยืนยันว่าจะไม่เจรจาภายใต้แรงกดดัน
- ท่าทีที่แข็งกร้าวเป็นการผสานกำลังระหว่างกองทัพและรัฐบาล เพื่อตอบโต้การละเมิดของกัมพูชาและรักษาผลประโยชน์ของชาติ
กองทัพยืนแนวหน้า ปกป้องอธิปไตย
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง ภายหลังมีเหตุเผชิญหน้าทั้งในเชิงกำลังทหารและการก่อสร้างอาคารในพื้นที่ทับซ้อน ฝ่ายไทยจึงตัดสินใจใช้กองทัพบกเป็นแกนหลักในการรักษาความมั่นคง โดยอำนาจตัดสินใจอยู่ในมือคณะผู้บัญชาการทางทหาร (คบท.) ซึ่งมีทั้งผบ.ทสส. ผบ.เหล่าทัพ และผบ.ตร.
มาตรการสำคัญคือการคงสภาพการปิดด่านถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า โดยกำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าจะเปิดก็ต่อเมื่อกัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทยอีกต่อไป ความเข้มงวดนี้สะท้อนถึงการใช้อำนาจเต็มของผู้บัญชาการทหารบกภายใต้กฎอัยการศึก ครอบคลุมทั้งการลาดตระเวน การควบคุมด่าน และการตอบโต้หากเกิดเหตุรุกล้ำ
ในเชิงปฏิบัติ กองทัพได้เร่งสร้างรั้วชายแดนถาวรในพื้นที่ที่ตกลงเขตแดนแล้ว เช่น จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีแผนก่อสร้างกว่า 23.6 กิโลเมตร ควบคู่ไปกับรั้วชั่วคราวในพื้นที่ล่อแหลม และติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อเฝ้าตรวจ 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งพัฒนาเส้นทางยุทธวิธีเสริมการลาดตระเวน
อีกด้าน กองทัพวางหลักการชัดเจนในการใช้กำลัง โดยยึด ROE (Rules of Engagement) ตามมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันตนเองเมื่อถูกคุกคาม ทั้งการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ถือเป็นท่าทีที่ผสมผสานระหว่างความแข็งกร้าวกับการอ้างอิงหลักสากล เพื่อลดแรงกดดันทางการทูต
ตอบโต้ข้อกล่าวหา–ย้ำสิทธิอธิปไตย
ความขัดแย้งไม่ได้อยู่เพียงในสนามทหาร แต่ลุกลามสู่สนามการทูต กัมพูชากล่าวหาว่าไทยละเมิดพันธกรณีสากลและบันทึกความเข้าใจ (MOU 2000) แต่ฝ่ายไทยโดยโฆษกกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี ยืนยันหนักแน่นว่า พื้นที่ปฏิบัติการอยู่ในอธิปไตยไทยชัดเจน มิใช่เขตพิพาท
กองทัพไทยยังชี้ว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดซ้ำซาก ไม่ว่าจะเป็นการนำกำลังติดอาวุธเข้ามา การใช้ประชาชนสร้างสถานการณ์กดดัน หรือการวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติและข้อตกลงระหว่างประเทศ
การประท้วงของไทยกว่า 500 ครั้งกลับถูกเมินเฉย สะท้อนถึงท่าทีที่ไม่จริงใจของกัมพูชา และทำให้ฝ่ายไทยมีเหตุผลเพิ่มในการเดินหน้ามาตรการทางทหารและการทูตแบบแข็งกร้าว เพื่อรักษาความมั่นคงและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนชายแดนที่ต้องการเห็นรัฐปกป้องสิทธิของพวกเขาอย่างจริงจัง
นายกฯ อนุทิน–การเมืองหนุนทัพเต็มกำลัง
บทบาทของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกจับตามองในฐานะผู้นำรัฐบาลที่เลือกยืนข้างกองทัพอย่างเต็มที่ ประกาศชัดว่า ทหารมีสิทธิขาดในการเปิด–ปิดด่าน และการปักธงชาติไทยทุกตารางนิ้วในเขตอธิปไตย โดยรัฐบาลจะไม่แทรกแซงการตัดสินใจทางยุทธการ
ในด้านการทูต นายกฯอนุทินย้ำว่า จะไม่ยอมเจรจาภายใต้แรงกดดัน ไม่ว่าฝ่ายกัมพูชาจะใช้กองกำลังหรือมวลชนก็ตาม เขาแสดงท่าทีแข็งกร้าวว่าเงื่อนไขการเจรจาต้องเป็นของไทยเท่านั้น และไม่มีใครสามารถล็อบบี้หรือกดดันรัฐบาลได้ ทั้งหมดเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย
นอกจากนั้น ยังมีมาตรการด้านมนุษยธรรมควบคู่ โดยนายกฯ สั่งการให้เร่งเยียวยาประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านและความตึงเครียดที่ลากยาวมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาจึงสะท้อน “สองเสาหลัก” ที่เดินคู่กันคือ กองทัพในฐานะแนวหน้าเชิงยุทธศาสตร์ และรัฐบาลอนุทินที่หนุนหลังเชิงการเมืองและการทูต ท่าทีที่แข็งกร้าวอาจช่วยสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและเพิ่มอำนาจต่อรองของไทย แต่ก็เสี่ยงต่อการปะทะหากไม่มีช่องทางทางการทูตรองรับในระยะยาว


