รัฐบาลระดมทุกสรรพกำลังช่วยผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา
รัฐบาลเร่งเยียวยาผู้ประสบภัยชายแดน สั่งผู้ว่าฯ รวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ พร้อมระดมทุกกระทรวงช่วยเหลือ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาขั้นสูงสุด
KEY
POINTS
- รัฐบาลสั่งการให้รวบรวมรายชื่อผู้ประสบภัยเพื่อมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นจากกองทุนสำนักนายกรัฐมนตรี
- กระทรวงต่างๆ ร่วมมือกันช่วยเหลือประชาชน เช่น กระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดโรงเรียน กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม และกระทรวงมหาดไทยอพยพประชาชน
- มีการอพยพประชาชนกว่า 1 แสนคนใน 4 จังหวัดชายแดนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมจัดหาปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ
- รัฐบาลใช้มาตรการทางการทูตโดยลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา ด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับประเทศ
รัฐบาลเร่งเยียวยาผู้ประสบภัยชายแดน พร้อมสั่งทุกกระทรวงระดมช่วยเต็มที่
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี สั่งการด่วนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนรวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุปะทะ เพื่อใช้เงินกองทุนสำนักนายกฯ เยียวยาเบื้องต้น พร้อมกำชับให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องระดมสรรพกำลังช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปตัวเลขประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และความเสียหายต่อทรัพย์สิน โดยให้ส่งรายละเอียดให้แต่ละจังหวัด เพื่อดำเนินการสรุปจำนวนและมอบเงินช่วยเหลือเยียวยา ทั้งข้าราชการทหารและประชาชน
เบื้องต้นจะใช้เงินจากกองทุนสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบรรเทาทุกข์เร่งด่วน ส่วนการเยียวยาด้านอื่นๆ ให้รีบสรุปข้อมูลส่งกลับมายังกระทรวงมหาดไทยและสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนเร่งดำเนินการ
- กระทรวงศึกษาธิการ สั่งปิดโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงชั่วคราว
- กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนโรงพยาบาลในพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราว และอพยพผู้ป่วย-ผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลที่ปลอดภัยแล้ว
- กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดูแลเรื่องการเยียวยาและบรรเทาทุกข์เบื้องต้น
- กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบและแก้ไขข่าวปลอมในสถานการณ์
- กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการตามแผนร่วมกับกองทัพในพื้นที่เพื่อดูแลประชาชนในทุกมิติ
ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา
ในส่วนของมาตรการด้านการต่างประเทศ รัฐบาลยืนยันได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาลงแล้ว โดยได้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศให้เรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ และส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับสู่ประเทศ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่มีความรุนแรงที่สุดในทางการทูต ตามที่นายจิรายุกล่าว
มหาดไทยเร่งอพยพประชาชนสู่พื้นที่ปลอดภัย
นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการยิงอาวุธล่วงล้ำอธิปไตยของไทย ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ที่พักอาศัยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งการเสียชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงต้องอพยพย้ายที่พักชั่วคราว
นายภูมิธรรมได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ระดมกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) บูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทุกภาคส่วน นำยานพาหนะของทุกหน่วยงานเร่งอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยห่างจากแนวปะทะเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งดูแลชีวิตความเป็นอยู่ครอบคลุมปัจจัยพื้นฐาน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ยารักษาโรค ห้องน้ำ และที่พัก ให้ถูกสุขลักษณะ โดยเน้นย้ำความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ยอดผู้อพยพกว่า 1 แสนคนใน 4 จังหวัดชายแดน
ข้อมูลเมื่อเวลา 22.30 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม ระบุว่ามีประชาชนที่อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวใน 4 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 100,672 คน ใน 295 แห่ง ได้แก่
- สุรินทร์: 56,000 คน ใน 67 แห่ง
- ศรีสะเกษ: 17,196 คน ใน 58 แห่ง
- บุรีรัมย์: 17,000 คน ใน 1 แห่ง
- อุบลราชธานี: 10,476 คน ใน 169 แห่ง
กระทรวงมหาดไทยยังได้กำชับให้ทุกจังหวัดและอำเภอสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน ควบคู่กับการบำรุงขวัญกำลังพลทั้งฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อส. ชรบ. อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามแนวพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง
พร้อมทั้งร่วมกันเป็นกำลังใจให้พี่น้องทหารหาญที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในศูนย์พักพิงรับทราบสถานการณ์ รวมถึงการดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินในหมู่บ้านและบ้านเรือนโดยกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมย้ำเตือน "ห้ามกลับไปยังพื้นที่หมู่บ้าน" จนกว่าภาครัฐจะประกาศให้สามารถกลับไปได้ตามปกติ


