มาริษยื่นประท้วงกัมพูชา ปมเขาช่องบก เร่งดันประชุม JBC หาทางออก

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยระหว่างร่วมประชุมรัฐมนตรีองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่า ได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้กระทรวงฯ เตรียมความพร้อมรับมือโดยเน้นย้ำแนวทางสันติวิธีเป็นหลัก และยืนยันว่าไทยได้ทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชาแล้ว

นายมาริษระบุว่า ทันทีที่เดินทางถึงฝรั่งเศส ได้ประชุมออนไลน์กับปลัดกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการอย่างเป็นเอกภาพ โดยเน้นการใช้กลไกทางการทูตในการคลี่คลายสถานการณ์ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือขยายความขัดแย้ง

“ไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน สิ่งที่เราต้องทำคือหาทางแก้ไขด้วยสันติวิธี ไม่ใช่ด้วยกำลัง” นายมาริษกล่าว

รัฐมนตรีต่างประเทศยังได้สั่งให้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น ทั้งด้านกฎหมายและภาพถ่าย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเจรจาภายใต้กรอบ “คณะกรรมการเขตแดนร่วม” หรือ JBC ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการแก้ปัญหาชายแดนอย่างเป็นทางการ

ในประเด็นการผลักดันให้จัดประชุม JBC นายมาริษย้ำว่า ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพหากกัมพูชาไม่พร้อม โดยมองว่าการประชุม JBC จะเป็นเวทีสำคัญในการลดความตึงเครียด และหารือร่วมกันเรื่องการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับเส้นเขตแดนระหว่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ยื่นหนังสือประท้วงแล้ว

นายมาริษเผยว่า ทางการไทยได้ยื่นหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาแล้ว โดยยืนยันว่า การดำเนินการของฝ่ายไทยอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการยืนยันอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และปฏิบัติตามหลักสากลอย่างครบถ้วน

เตรียมประชุมผู้บริหารกระทรวงทันทีหลังกลับถึงไทย

หลังเสร็จสิ้นการประชุม OECD และเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 นายมาริษเตรียมเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศทันที เพื่อกำหนดจุดยืนและท่าทีที่ชัดเจนในการรับมือกับสถานการณ์ที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าตัวยืนยันว่า ได้ประเมินสถานการณ์และประชุมออนไลน์กับเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องแม้ขณะปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ

กัมพูชาจะยื่นศาลโลกก็เป็นสิทธิของเขา

ในประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการให้รัฐสภาพิจารณาส่งเรื่องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) นายมาริษกล่าวว่า เป็นสิทธิของกัมพูชาที่จะดำเนินการในสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสม ขณะเดียวกัน ไทยเองก็มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเช่นกันว่าจะดำเนินการในกรอบใด ทั้งในระดับทวิภาคีหรือผ่านกลไกระหว่างประเทศ โดยย้ำว่าเรื่องนี้แยกออกจากกระบวนการใน JBC ซึ่งเป็นอีกกลไกหนึ่งที่เน้นการเจรจาระหว่างสองประเทศโดยตรง