ถกงบฯ 69 รัฐมนตรีหายจากสภา เลี่ยงเผชิญสื่อ ปมทักษิณจี้คืนมหาดไทย
อภิปรายงบประมาณปี 69 วันที่ 4 รัฐมนตรีหายจากสภา เลี่ยงเผชิญหน้าสื่อ หลัง “ทักษิณ” จี้คืนมหาดไทยให้เพื่อไทย กระแสกดดันพุ่ง
วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ เพื่อต่อเนื่องการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เข้าสู่วันที่สี่ของการอภิปราย โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศช่วงเช้าค่อนข้างเงียบเหงา โดยเฉพาะบริเวณทางเข้าหลักด้านหน้าของรัฐสภา ที่ปกติจะมีรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองต่างๆ เดินทางเข้าร่วมประชุมและให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน กลับปรากฏว่าช่วงเช้าวันนี้มีรัฐมนตรีปรากฏตัวเพียงคนเดียว คือ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จากพรรคเพื่อไทย ส่วนรัฐมนตรีรายอื่นจากทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรม ต่างหายหน้าหายตาไปเกือบหมด
เลี่ยงสื่อหลังทักษิณจี้คืนมหาดไทย
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการของเนชั่นทีวี โดยเสนอความเห็นว่ากระทรวงมหาดไทยควรกลับมาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายสู่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คำให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณส่งผลให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัฐมนตรีจำนวนมากเลือกไม่เข้าร่วมประชุมในช่วงเช้า อาจเป็นการเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสื่อมวลชน และสงวนท่าทีต่อประเด็นที่ยังอ่อนไหว โดยเฉพาะกรณีความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ที่ปัจจุบันถือครองกระทรวงมหาดไทยอยู่
ฝ่ายค้านซัดรัฐจัดงบที่ดินล้มเหลว
ขณะเดียวกัน ในห้องประชุมสภาฯ นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายในประเด็นการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน โดยชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องเชิงนโยบายของรัฐบาลที่ยังคงเดินหน้าใช้แนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) แบบเหมารวม ไม่จำแนกข้อเท็จจริงของพื้นที่ที่มีปัญหาทับซ้อนกับเขตป่า
นายเลาฟั้งแยกประเภทของประชาชนที่เข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่ทับซ้อนกับที่ดินของรัฐออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มที่อยู่อาศัยก่อนการประกาศเขตที่ดินของรัฐ
2. กลุ่มที่อยู่อาศัยหลังจากมีการประกาศแต่มีหลักฐานแสดงการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง
3. กลุ่มที่บุกรุกพื้นที่โดยไม่มีสิทธิ
เขาระบุว่า รัฐบาลกลับเลือกที่จะปฏิบัติต่อทั้งสามกลุ่มเหมือนกันหมดด้วยการจัดที่ดินตามแนวทาง คทช. ซึ่งไม่สามารถตอบโจทย์ความยุติธรรมและไม่ส่งผลดีในระยะยาวต่อการแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างยั่งยืน
งบ 692 ล้าน ใช้จริงเพื่อที่ดินทำกินแค่ 34%
จากข้อมูลการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2569 นายเลาฟั้งเปิดเผยว่า กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้รับงบประมาณรวมกันสูงถึง 692 ล้านบาท โดยมีชื่อภารกิจว่า "จัดที่ดินทำกินให้ชุมชน" แต่เมื่อตรวจสอบในรายละเอียดกลับพบว่า งบประมาณที่นำไปใช้กับภารกิจจริงๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินมีเพียง 34% หรือราว 235 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 66% หรือกว่า 450 ล้านบาท ถูกนำไปใช้กับกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
นายเลาฟั้งเสนอว่า งบทั้งหมดควรถูกนำไปใช้ในกิจกรรมจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น เช่น การจัดทำบัญชีรายชื่อประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย การทำแผนที่แนวเขตที่ชัดเจนทั้งระดับบุคคลและชุมชน โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบพิกัดจีพีเอสและแผนที่ดาวเทียม เพื่อลดข้อโต้แย้งและเพิ่มความโปร่งใส
จี้แยกจัดสรร 3 กลุ่มที่ดินปฏิรูป
นอกจากปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณอย่างไม่ตรงเป้าแล้ว นายเลาฟั้งยังกล่าวถึงโครงการปฏิรูปที่ดิน 3 กลุ่มที่ยังคงค้างคาอยู่ ได้แก่ พื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) พื้นที่นิคมสร้างตนเอง และพื้นที่นิคมสหกรณ์
เขาระบุว่า ทั้งสามกลุ่มมีพื้นที่รวมกันมากถึง 5.5 ล้านไร่ ที่ยังรอการจัดสรรอย่างเป็นระบบ แต่กลับไม่มีการจัดงบเพื่อขับเคลื่อนเลยในปีงบประมาณ 2569
ตัวอย่างเช่น กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ รวมถึงกรมส่งเสริมสหกรณ์ ไม่ได้รับงบประมาณในปีนี้เพื่อดำเนินการในพื้นที่นิคม ส่วนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้รับงบประมาณเพียง 16 ล้านบาท ทั้งที่มีพื้นที่เป้าหมายมากถึง 3 ล้านไร่ ซึ่งถือว่าน้อยจนไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“รัฐบาลต้องยุติการจัดที่ดินในพื้นที่กลุ่มเหล่านี้ตามแบบ คทช. แต่ให้หันกลับมาจัดสรรตามกฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและตรงกับสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ รวมถึงหลักความเป็นธรรมในการจัดสิทธิให้ประชาชน” นายเลาฟั้ง กล่าวสรุป
จับตาแนวโน้มการจัดสรรที่ดินและบทบาทกระทรวงมหาดไทย
ประเด็นที่นายเลาฟั้งหยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงถึงโครงสร้างอำนาจของกระทรวงที่รับผิดชอบในภารกิจที่ดิน ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอของนายทักษิณเกี่ยวกับบทบาทของพรรคเพื่อไทยในกระทรวงมหาดไทย
การที่งบประมาณสำหรับการจัดการปัญหาที่ดินตกอยู่ในภาวะไม่มีทิศทางเชิงนโยบายที่ชัดเจน อาจสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลผสมชุดปัจจุบัน ซึ่งจะกลายเป็นโจทย์สำคัญสำหรับฝ่ายบริหารในการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายและการเร่งขับเคลื่อนปัญหาเชิงโครงสร้างในอนาคต


