พรรคประชาชนไม่ขัดร่างกม.พระคลังข้างที่สะท้อนท่าทีต่อสถาบัน

วันที่ 28 พฤษภาคม พุทธศักราช 2568 ได้จารึกเหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติอันเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 454 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับใหม่) ในทุกวาระของการพิจารณา 

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้ซับซ้อน หากแต่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์และเชิงปฏิบัติที่สำคัญยิ่ง นั่นคือการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจากที่คุ้นเคยกันในนาม “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” กลับไปใช้ชื่อในอดีตอันรุ่งโรจน์คือ “สำนักงานพระคลังข้างที่”

การเปลี่ยนแปลงชื่อนี้ถูกมองว่าเป็นการหวนคืนสู่รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ และเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทและความสำคัญของหน่วยงานดังกล่าวในการบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์กำหนดให้มีการโอนย้ายภารกิจบางประการจากสำนักพระราชวังมายังสำนักงานพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างและขอบเขตความรับผิดชอบของทั้งสองหน่วยงานให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

การผลักดันร่างพ.ร.บ.อย่างมีเหตุผลผ่านกลไกพิเศษ

ภายใต้การพิจารณาและลงมติ รัฐบาลได้ออกมาให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยชี้แจงว่าเพื่อให้การบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มีความเหมาะสม สอดคล้องกับบทบาททางประวัติศาสตร์ และสร้างความกระจ่างในกระบวนการบริหารจัดการทรัพย์สินจะช่วยให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การที่คณะรัฐมนตรีได้เลือกใช้กระบวนการพิเศษที่เรียกว่า “กรรมาธิการเต็มสภา”อนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดทำหน้าที่เป็นคณะกรรมาธิการพิจารณาแทนที่จะส่งไปยังคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาฯ ตามปกติโดยให้เหตุผลว่าการใช้กรรมาธิการเต็มสภาเป็นไปเพื่อให้การพิจารณาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกฎหมายมีจำนวนมาตราเพียง 6 มาตรา และมีเนื้อหาที่ไม่สลับซับซ้อน

ไม่ค้านเนื้อหาแต่กังวลกระบวนการ

เหตุการณ์การณ์ผ่านร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับใหม่)เผยให้เห็นถึงบทบาทของพรรคประชาชนที่มีต่อสถาบันภายใต้การนำของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้าน มิได้มุ่งเน้นไปที่การคัดค้านเนื้อหาของร่างกฎหมายโดยตรง หากแต่ได้แสดงความกังวลและไม่เห็นด้วยกับ “กระบวนการ”จึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณากฎหมายอย่างรอบคอบและโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน 

ขณะพรรคฝ่ายรัฐบาล นำโดยนายจุติ ไกรฤกษ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงการสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อทั้งเนื้อหาและกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและความชัดเจนในการบริหารจัดการทรัพย์สิน

ส่วนคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้เสนอร่างกฎหมายมีบทบาทสำคัญในการผลักดันกระบวนการพิจารณา โดยอาศัยกลไก “กรรมาธิการเต็มสภา” เพื่อให้การพิจารณาดำเนินไปอย่างรวดเร็วตามเป้าหมายที่วางไว้

ด้านประธานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงว่าการดำเนินการตามกระบวนการ “กรรมาธิการเต็มสภา”เป็นไปตามข้อบังคับของการประชุมซึ่งเป็นการยืนยันถึงความชอบธรรมทางกฎหมาย 

ฝ่ายค้านสายกลางรักษาสมดุลการเมือง

ดังนั้น การที่พรรคฝ่ายค้านมิได้แสดงการคัดค้านต่อสถาบันฯหรือเนื้อหาของกฎหมายโดยตรง แต่กลับมุ่งเน้นไปที่กระบวนการพิจารณาที่รวดเร็วสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามรักษา "สมดุลทางการเมือง"

จุดยืนพรรคประชาชนจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ"ฝ่ายค้าน"ที่ต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและกระบวนการออกกฎหมาย เน้นย้ำความโปร่งใสและกระบวนการที่รอบคอบเป็นการตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นการดำเนินงานรัฐสภาเป็นไปอย่างมีธรรมาภิบาล

ท่าทีที่พรรคแสดงออกไปช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของพรรคในฐานะฝ่ายค้านที่มีความ “เป็นกลาง” และมีเหตุผล ไม่ได้มุ่งเน้นการขัดแย้งกับสถาบันฯ หากแต่ยึดมั่นในหลักการของการพิจารณากฎหมายอย่างมีธรรมาภิบาล การเน้นย้ำเรื่องกระบวนการมากกว่าเนื้อหาอาจช่วยให้พรรคได้รับการยอมรับจากประชาชนในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งทางการเมืองที่กระทบต่อสถาบันฯ

สร้างมาตรฐานใหม่ "อภิปรายเชิงหลักการ"

หลังผ่านร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับใหม่) พรรคประชาชนอาจปรับกลยุทธ์หันมาเน้นการ “อภิปรายเชิงหลักการ” ในการพิจารณากฎหมายอื่นๆ เพื่อย้ำจุดยืนในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล หลีกเลี่ยงการแตะต้องเนื้อหาที่อาจมีความอ่อนไหว

การเน้นย้ำหลักการธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการออกกฎหมายผลักดันให้เกิด“มาตรฐานใหม่” สะท้อนถึงความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่างการเคารพสถาบันฯ กับหลักการประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลชี้ให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการเมืองในอนาคต.