“อนุทิน-ภูมิธรรม” ประสานเสียง ไม่มีปฏิญญาเขาใหญ่ แค่”ทักษิณ”ไปพักผ่อน
“อนุทิน-ภูมิธรรม” ยันไม่มีปฏิญญาเขาใหญ่ ออกรอบตีกอล์ฟร่วม”สารัชถ์” ไม่มีนัยแค่'ทักษิณ' ไปพักผ่อนกับครอบครัว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พาครอบครัวไปพักผ่อนที่เขาใหญ่ ว่า นาย ทักษิณไปพักผ่อนกับครอบครัวและไม่ได้มา พักที่ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท เขาใหญ่ ที่เป็นโรงแรมของครอบครัวตน นายทักษิณพักที่โครงการของครอบครัวของนายทักษิณเอง และได้แวะมาทานอาหารเย็นกับตนและพรรคพวกของที่ แรนโช โดยในวงสนทนาไม่มีการพูดเรื่องสถารการณ์บ้านเมือง
ส่วนภาพการออกรอบตีกอล์ฟ ที่มี นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมก๊วนด้วยนั้น คนที่ร่วมก๊วนนั้นรู้จักกันมาไม่ต่ำกว่า 25 ปี อย่างนายสารัชถ์กับตนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปี 2526 รุ่นพี่ตน 1 ปี ที่วิศวะจุฬา ไม่มีอะไรนอกจากนั้น ยืนยัน ไม่มีการพูดคุยเรื่องการเมือง ถ้าลับๆล่อๆ ไม่มีวันได้เห็นภาพ พร้อมระบุว่า ผู้โพสต์ภาพ คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงว่าไม่มีอะไร
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวถึง กรณีเดียวกันว่า ไม่มีอะไร ถือเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นช่วงวันหยุดยาว ใครว่างก็ไป ใครยังไม่ว่างก็ไม่ได้ไป ซึ่งตนก็ไม่ได้ไป และยืนยันว่าไม่มี ปฏิญญาเขาใหญ่ มีแต่ไปตีกอล์ฟ ร้องเพลง ทานข้าวกันธรรมดา
ส่วนกรณีปรากฎภาพผู้บริหารของบริษัทพลังงานร่วมก๊วนตีกอล์ฟกับนายทักษิณ จะทำให้ถูกจับตาว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องพลังงานได้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่าวันนี้เราประกาศชัดเจนว่าเราอยู่ในสังคมซึ่งมีคนหลายส่วน และเราพยายามที่จะดึงความร่วมมือกับทุกฝ่าย มาช่วยกันแก้ปัญหา เรื่องทุนใหญ่ไม่ใช่ประเด็น เพราะนโยบายของเราคือสร้างความสมดุลอยู่แล้ว เช่น กระทรวงพาณิชย์ที่กำลังแก้ปัญหาราคาสินค้า ได้ดึง 30 บริษัทรัฐวิสาหกิจและบริษัทห้างร้าน มาช่วยกันแก้ปัญหา
เมื่อถามว่าในเดือนสิงหาคมสถานการณ์ทางการเมืองอาจจะมีเรื่องของการยุบพรรคการเมืองจะมีอะไรเป็นตัวฉุดถ่วงกระทบกับการบริหารประเทศ นายภูมิธรรม ระบุว่า ในช่วงเดือนสิงหาคมมีหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งการพิจารณายุบพรรคก้าวไกล การพิจารณาตัดสินคดีของนายกรัฐมนตรี ในคดีการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี หรือคดีของนายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีในคดีมาตรา 112 ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะมองได้ว่าทำให้ไม่มีความมั่นใจ หรือไม่แน่ใจว่าผลจะเกิดเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าผลจะเกิดอย่างไรเราต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้น ส่วนจะแก้อย่างไรก็ต้องว่ากันไป ซึ่งรัฐบาลพยายามแน่วแน่ มุ่งมั่นทำงานแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นภารกิจหลักและภารกิจเร่งด่วน


