posttoday

“บัญญัติ” วิเคราะห์การเมืองไทย ฟันธงเลือกตั้งปี 66 ใช้เงินสู้เต็มรูปแบบ

03 มกราคม 2566

“บัญญัติ” วิเคราะห์การเมืองไทย ฟันธงเลือกตั้งปี 66 ใช้เงินสู้เต็มรูปแบบ เชื่อกระแสหรือจะสู้กระสุน จี้ กกต. คุมเข้ม

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ "วิเคราะห์ถึงสถาณการณ์การเมืองในปี 2566" ว่า การเมืองปี 2566 จะเด่นอยู่ 2 ด้าน คือ 1.ด้านความเป็นธนาธิปไตย คือการใช้เงินเพื่อการเมืองในการเลือกตั้งปี 2566 จะสูงมากเป็นพิเศษ ซึ่งเราก็เห็นมากขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการแจกกล้วยในสภา มีทั้ง ลิง งูเห่า เห็บ หรือการดูด รวมถึงการพูดถึงค่าตัว ส.ส. 30 - 40 ล้านบาท แสดงให้ว่า มีการใช้เงินเพื่อการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ  นักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่เริ่มมีความรู้สึกว่า “กระแสหรือจะสู้กระสุน”

 

เพราะแม้แต่การสร้างกระแสก็ต้องใช้กระสุน คือการทำการตลาดอย่างทุ่มเทมากขึ้น ซึ่งตรงนี้อันตราย เพราะเมื่อมีการใช้เงินทางการเมืองมากเสมือนการลงทุน  การถอนทุนก็ย่อมจะเกิด เมื่อถอนทุนแล้ว ไม่พอยังต้องเตรียมทุนไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปอีก และเมื่อถอนทุนก็ทำได้ เตรียมทุนไว้ก็ทำได้

 

จึงเกิดความรู้สึกเมามัน อาศัยอำนาจทางการเมืองที่สามารถเอื้ออำนวยผลประโยชน์ ให้กับตนหรือพรรคพวก ก็มีการทำธุรกิจการเมือง หรือธนาธิปไตยตามมา อาศัยความได้เปรียบคู่แข่งขันที่เข้าไม่ถึงศูนย์กลางแห่งอำนาจ

 

“แล้วที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เมื่อเข้าไปศูนย์กลางอำนาจได้ การเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐจะเกิดขึ้นนอกจากนี้ยังมีการใช้เงินเพื่อสร้างเครือข่ายไอโอ ช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบในโลกโซเชียล ที่น่ากลัวที่สุดคือการใช้เงินสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ อาจจะเป็นเพราะเข้าใจว่าในช่วงระยะเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ภายใต้สถานการณ์โควิด
 

 

คนในสังคมไทยระดับพอมีพอกิน เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น ก็เลยคิดกันเอาเองว่า เครือข่ายอุปถัมภ์จะมีน้ำหนักมากพอ ในการช่วงชิงการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง มีการฟื้นฟูระบบบ้านใหญ่ วัฒนธรรมบ้านใหญ่ ซึ่งห่างหายไปแล้วระยะหนึ่งและฟื้นคืนกลับมา และที่น่ากังวลอีกคือ การจับมือกับผู้บริหารท้องถิ่นในบางที่ สร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ในท้องถิ่นนั้นๆ” นายบัญญัติ กล่าว

 

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันยังแตกออกอีก 2 ลักษณะ คือ 1.1 สามารถสนับสนุนส่งเสริม ให้มีการตั้งงบประมานตามโครงการต่าง ๆ ที่มากเกินจำเป็นที่เรียกว่า “สร้างงานให้ผู้รับเหมา” ไม่ใช่สร้างเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน  และ 1.2 การเบียดบังผลประโยชน์รัฐ คือการกำหนดเงื่อนไขให้รัฐ ต้องชดเชยเงินจำนวนมากในการดำเนินการตามโครงการเพื่อประโยชน์สาธารณะ เรื่องเหล่านี้คือ กระบวนการที่ตามมา  ถ้าการเมืองใช้เงินมาก ใช้เงินซื้อเสียง แล้วถ้าเราจะช่วยทำให้ประชาชน เห็นพิษภัยของการซื้อสิทธิ์ขายเสียงตั้งแต่ต้นมือ
 

 

โดยเฉพาะถ้าเราสามารถทำให้ประชาชนเข้าใจว่า เงินของรัฐที่ถูกเบียดบังไปทั้ง 2 ลักษณะมีจำนวนแต่ละปีมหาศาล นั่นคือภาษีประชาชน  ถ้าเราช่วยกันป้องกันการเมือง ในลักษณะการลงทุนไม่ให้ประสบผลสำเร็จ รัฐก็จะเหลือเงินไม่ถูกเบียดบังนำมาทำประโยชน์ให้ประชาชนได้มากมาย นี่คือภาพของธนาธิปไตยที่กำลังจะรุนแรงมากขึ้น และพิษภัยที่พอจะมองเห็นและน่าจะเข้าใจได้ว่า ปี 2566 จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นจนถึงการเลือกตั้ง

 

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า “ลักษณะเด่นที่ 2 ของการเมืองในปี 2566 คือ สภาพความขัดแย้งแบ่งฝ่ายรุนแรงมากขึ้น ซึ่งความจริงขณะนี้รุนแรงอยู่แล้ว สะท้อนออกมาคือการด้อยค่ากันเองจนเกินเหตุผล ระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญติ หรือพรรคการเมือง ความจริงการวิพากษ์วิจารณ์ หรือการตรวจสอบการถ่วงดุล เป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่ถ้าเราตรวจสอบถ่วงดุล ในลักษณะที่เราด้อยค่าจนเกินความเป็นจริงเกินเหตุผล ต่างฝ่ายต่างก็ทำกันมากขึ้น วันหนึ่งประชาชนจะรู้สึกว่า ดูไม่มีใครดีเลย

 

ซึ่งจะทำให้เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย และการทำการเมืองแบบแบ่งฝ่าย เช่นการแบ่งฝ่ายทางความคิด เศรษฐกิจ สังคม การเมือง อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม สังคมนิยม เป็นเรื่องธรรมดา แต่การแบ่งฝ่ายที่รู้สึกจะนำได้สู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงของสังคมไทย คือ การแบ่งเป็นพวกเขาพวกเรา ถ้าเป็นพวกเราถูกหมด ถ้าเป็นพวกเขาผิดหมด มันจะนำไปสู่อันตราย ท้ายที่สุดประชาชนที่จะเข้าร่วมกระบวนการแบ่งฝ่ายด้วย จะไม่ได้ตัดสินปัญหาที่เหตุที่ผลความถูกและความผิด แต่ตัดสินว่าเป็นพวกเขาหรือพวกเรา คือกระบวนการปลูกความชิงชัง ให้เกิดขึ้นกับคู่แข่งขัน ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งจะก่อให้เกิดความรุนแรงทางสังคมเกิดการเผชิญหน้ากันได้

 

หลักการของประชาธิปไตย ที่ว่าประชาธิปไตยดีเพราะการเปลี่ยนแปลง โดยสันติวิธีก็เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยการเผชิญหน้าในระหว่างกัน เกินความรุนแรงเข้าหากัน ผมว่าปี 2566 ก็จะมีปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะใกล้เลือกตั้งเข้าไปทุกที ถ้ารัฐมีอำนาจหรือผู้เกี่ยวข้องเองไม่ได้ตระหนักในอันตรายเหล่านี้ ความรุนแรงที่น่ากังวลอาจจะเกิดขึ้น เวลาเลือกตั้ง หรือหลังเลือกตั้งได้” นายบัญญัติ กล่าว

 

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2500 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการใช้เงินทองอำนาจรัฐ ใช้อิทธิพลมีทั้งพลร่ม ใช้ข้าราชการบางหน่วยบางสังกัด เดินเวียนเทียนลงคะแนนแทนคนที่ไม่มาลง และไพ่ไฟ คือ มีบัตรสำรองที่ลงคะแนนแล้ว อยู่ก้นหีบนับคะแนน สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ และองค์กรที่ต้องตระหนักถึงอันตรายคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และหาก กกต. ล้มเหลวจะทำให้เหตุการรุนแรงไปกันใหญ่

 

เพราะการเลือกตั้งสกปรกไม่สุจริต ที่เกิดขึ้นสมัยจอมพล ป. มีการชุมนุมเรียกร้องในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้ตนคิดว่า ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่เรียบร้อย มีการกล่าวหาว่าเลือกตั้งสกปรก การชุมนุมเรียกร้องอย่างน้อย ที่จะเกิดขึ้นในจังหวัด ที่เป็นเมืองของมหาวิทยาลัย และในทุกภาคของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ชี้ช่องหรือชี้โพรงให้กระรอก แต่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เมื่อสถานการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้น

 

“กกต. ต้องคิดอ่านเดินหน้าลงสู่ชนบทได้แล้ว อาจจะต้องไปจับมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎทั่วประเทศ เพื่อเดินหน้าตามโครงการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ในความสำคัญของการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ให้ประชาชนได้เกิดความรู้สึกตระหนัก ในความเป็นพลเมืองที่ดี ในระบอบประชาธิปไตย และสำคัญที่สุด ให้ประชาชนตระหนักในพิษภัยของการเมือง ที่ใช้เงินว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา ตรงนี้สำคัญมาก

 

โครงการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในกรุงเทพของ กกต.ไม่ว่าจะเป็นโครงการให้ความรู้ความเข้าใจ การเมืองการเลือกตั้ง ต่อบุคคลที่พรรคการเมืองส่งไป หรือต่อบุคคลภายนอกควรจะเบา ๆ ลง และเอาแรงไปเดินสู่ชนบท จะเป็นประโยชน์มากกว่า โครงการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในการเมืองการเลือกตั้ง ต่อบุคคลภายนอก ดูจะถูกครหานินทาอยู่เสมอว่า ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร เพราะผู้ที่เข้ารับการอบรมก็ไม่ได้นำความรู้ความเข้าใจนี่ไปใช้ เพื่อประชาธิปไตยสักเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นศูนย์กลาง ของการสร้างคอนเนคชั่นการเมือง ถ้ามีกำลังเหลือก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ในขณะที่ปัญหาที่เผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่ตรงนี้ ปัญหาใหญ่คือ ต้องช่วยให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม โดยลดการซื้อสิทธิ์ขายเสียงอย่างไร เพื่อไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้นได้ภายหลัง” นายบัญญัติ กล่าว

 

เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยประกาศพร้อมจับทุกขั้วจัดตั้งรัฐบาล จะเกิดปัญหาตามหรือไม่  นายบัญญัติ กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเดินหน้าทางการเมืองอย่างไร แต่ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนเช่นกันว่า จะเห็นด้วยหรือไม่ แต่สำหรับคนอย่างพวกเรา ๆ ที่ทำการเมืองมานาน เราก็จะดู 2 ส่วนด้วยกัน คือ1.การเลือกตั้งได้สะท้อนเจตจำนงของเราออกมาในลักษณะเช่นไร ประชาชนคิดอย่างไร สนใจแนวคิดไหนที่จะไปร่วมกันได้หรือไม่ และ 2.การจะไปร่วมกับใคร อย่างไร จะทำประโยชน์ตามนโยบายที่ได้บอกกล่าวไว้ตอนรณรงค์หาเสียงไว้ว่าทำได้จริงหรือไม่