โหด-มัน-ฮาครบรสเลือกตั้ง2554
ความเข้มข้นของการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป 2554 ทำให้พรรคต่างๆโชว์กลเม็ดจนต้องบันทึกไว้เป็น"ที่สุด"ของศึกเลือกตั้งครั้งนี้
ความเข้มข้นของการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป 2554 ทำให้พรรคต่างๆโชว์กลเม็ดจนต้องบันทึกไว้เป็น"ที่สุด"ของศึกเลือกตั้งครั้งนี้
โดย...ทีมข่าวการเมือง
ศึกเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนนี้ถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่ง แต่ละพรรคล้วนจัดหนัก งัดกลยุทธ์หาเสียงหวังได้ใจประชาชน ทำให้บรรยากาศการแข่งขันกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา เป็นไปด้วยความเข้มข้นหลากหลายรสชาติ ผู้สมัครหลายรายมีรูปแบบการหาเสียงที่แปลกใหม่แหวกแนว สร้างความตื่นตะลึงฮือฮา หรือแม้แต่ความดุเด็ดเผ็ดร้อน ลูกตะกั่วปลิวว่อน ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน ก็ปรากฏให้เห็นหลายพื้นที่ จนหลายเหตุการณ์จัดได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุดในการเลือกตั้ง 2554
เริ่มตั้งแต่แม่ทัพของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ แตกต่างที่สุด ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์นำทีมโดยสุภาพบุรุษที่ว่ากันว่า “หล่อสุด” ในสนามการเมืองขณะนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่คู่แข่งตลอดกาลอย่างพรรคเพื่อไทยขับเน้นผู้หญิงนำทาง ว่ากันว่า “สวยที่สุด” อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กล่าวถึงความสามารถทางการเมืองแทบจะแตกต่างแบบสุดๆ ไปเลย เพราะฝ่ายชายประสบการณ์โชกโชน ส่วนฝ่ายหญิงถือเป็นผู้สมัครหน้าใหม่สดๆ ซิงๆ แต่ที่ “เหมือนกันที่สุด” อภิสิทธิ์ ไม่ต้องใช้ภรรยามาคุม แค่เผยความในใจวันปราศรัยราชประสงค์ว่า ได้กำลังใจจากภรรยาในช่วงเสื้อแดงเผาเมือง อย่าลาออก ต้องยืนหยัดแก้วิกฤตชาติก่อน เช่นเดียวกับความเป็นหญิงอย่าง ยิ่งลักษณ์ ลงพื้นที่ ไร้สามีมาคุม แต่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่งกำลังใจมาให้ ขออย่าท้อแท้ ต้องอดทนสู้ต่อไปในฐานะโคลนนิงของพี่ชาย
“เด่นชัดที่สุด” การมีนโยบายคนละขั้ว ประชาธิปัตย์ประกันราคาข้าว เพื่อไทยจำนำข้าว สโลแกนของอภิสิทธิ์ ไม่ทำเพื่อคนคนเดียว แต่ยิ่งลักษณ์มาพร้อมเสียงวิจารณ์ “ทำเพื่อพี่” ขณะเดียวกันประชาธิปัตย์ประกาศชัด ไม่นิรโทษกรรม ไม่คืนสมบัติ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เพื่อไทยพร้อมนิรโทษกรรมถ้วนหน้า และที่แน่ๆ หลังเลือกตั้งไม่ขอร่วมกันเป็นรัฐบาล
มาดูลีลาหาเสียงกันบ้าง ปรากฏการณ์ที่ “สติเฟื่องที่สุด” พบมากในพรรคขนาดเล็ก ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะหลุดรอดเข้าสภากี่ที่นั่ง แต่ขอจองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้ว ตั้งแต่ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ จากพรรครักษ์สันติ จำรัส อินทุมาร จากพรรคไทยพอเพียง ที่ประกาศลั่นทุ่งว่า “ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28” ส่วนพรรคพลังคนกีฬาของ “บิ๊กหอย” ธวัชชัย สัจจกุล ที่ถูก กกต. “ตัดสิทธิผู้สมัครมากที่สุด” เพราะคุณสมบัติไม่ครบ แต่ขึ้นป้ายสนับสนุน ศุภชัย พานิชภักดิ์ ผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโอ มาเป็นนายกฯ ประเทศไทย ป่านนี้ “ดร.ซุป” คงนอนสะดุ้งโหยง เพราะไม่เคยได้รับการติดต่อทาบทามมาก่อนเลย แต่ที่ “แหกโค้งที่สุด” ต้องยกให้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ไม่เป็นนายกฯ แต่ขอเป็นฝ่ายค้านเท่านั้น
บันทึกไว้สำหรับเทคนิคขอคะแนนแบบ “ทุ่มเทสุดๆ” แทบไม่น่าเชื่อว่าทำไปได้ ตั้งแต่ ดำนา บดน้ำแข็งไส กวนกระยาสารท ปั่นสามล้อ ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาเสียงบนรถเครน กว่าจะได้แต่ละคะแนน ต่างก็เหนื่อยกันสุดๆ ส่วน “อึ้งที่สุด” ชนิดคิดได้ยังไง ต้องยกให้ป้ายหาเสียงพรรคภูมิใจไทย มาแบบคอมโบเซตตั้งแต่ “เลี้ยงพ่อแม่ด้วยลำแข้ง” “เลี้ยงครอบครัวด้วยกำปั้น” “เลี้ยงเมียต้องตบ”
ไม่ว่าจะพิสดารพันลึกกันอย่างไร สุดท้ายต้องแห่ “พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด” ไม่ว่าจะลงพื้นที่ไหนต้องได้เห็นผู้สมัครขอพรพระ ประพรมน้ำมนต์ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ล่าสุด ชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ถือฤกษ์ปล่อยหอยขม ปล่อยเต่า สื่อความหมาย หอยขมเปรียบเสมือนเป็นความขมขื่นของพรรคและของประเทศ ให้ปล่อยทิ้งลงแม่น้ำออกสู่ทะเล ส่วนเต่าถือเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน จึงขอให้การปล่อยเต่าครั้งนี้เป็นการช่วยให้ประเทศชาติมีความมั่นคงและความปรองดองยืนยาวตลอดไป
แต่ละพรรคการเมืองไม่ตกขบวนกับความ “ไฮเทคที่สุด” ทั้งเปิดเว็บไซต์ ลงโฆษณา สื่อสารผ่านยูทูบ ทวิตเตอร์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ซึ่งถือเป็นที่นิยมที่สุด จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย (Siam Intelligence Unit : SIU) ณ วันที่ 19|มิ.ย. พรรคการเมืองที่มีตัวตนในเฟซบุ๊ก มีจำนวน 16 พรรค จากทั้งหมด 40 พรรคที่ลงเลือกตั้ง ขณะที่จำนวน “แฟน” หรือ ผู้ติดตามเฟซบุ๊กเพจมากที่สุด ต้องยกให้ส 2 พรรคการเมืองใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ 27,903 ราย พรรคเพื่อไทย 18,157 ราย และพรรคการเมืองใหม่ 5,861 ราย
ส่วนพรรคที่มีจำนวนแฟนเพียง “หลักร้อย” เช่น รักประเทศไทย (323) รักษ์สันติ (374) พลังชล (603) ภูมิใจไทย (682) มาตุภูมิ (246) ที่เหลือก็มีจำนวนแฟนน้อยเข้าไปอีก นั่นคือ “หลักสิบ” เช่น ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (49) เสรีนิยม (51) ประชาสันติ (55) ไทยสร้างสรรค์ (43) มหารัฐพัฒนา (50)
เมื่อไฮเทคสุดก็ต้องมี “โลว์เทคที่สุด” พบว่าพรรคที่อยู่คู่กับคนไทยมานานอย่างพรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย เรียกได้ว่าไร้ตัวตนบนโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง คือ ไม่มีทั้งเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก
การสำรวจความนิยม หรือโพล เป็นอีกช่องทางที่มีการตรวจสอบกระแสความต้องการประชาชนต่อนักการเมืองและพรรคการเมือง ซึ่งครั้งนี้ถือว่าสำรวจ “ถี่ยิบที่สุด” ผ่านสถาบันการศึกษามีชื่อเสียง ตั้งแต่เอแบคโพลล์ สวนดุสิตโพล กรุงเทพโพลล์ นิด้าโพล ขอนแก่นโพลล์ ตั้งแต่สำรวจความนิยมว่าที่นายกฯ สำรวจจำนวนที่นั่ง สส. นโยบายพรรคไหนโดนใจ แต่ละแห่งสำรวจไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ซึ่งผลสำรวจ 2 พรรคการเมืองใหญ่ออกมาทิศทางเดียวกัน คือ จะแพ้ชนะอย่างสูสี
โพลสถาบันการศึกษาที่ว่าแน่ หรือจะสู้โพลของพรรคการเมืองประเมิน “สุดโต่งที่สุด” ฝ่ายโพลสุเทพ บอก ปชป.ชนะแน่นอน แต่โพลเพื่อไทยโดย ปลอดประสพ สุรัสวดี ฟันธงเปรี้ยงได้เกิน 250 เสียง ส่วนโพล “น่าสงสัยที่สุด” เห็นจะเป็นโพลสันติบาล กับโพล กอ.รมน. เพราะเลือกตั้งครั้งใดมักมีการกล่าวถึงเสมอ แต่หากถามไถ่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ล้วนประสานเสียงไม่เค้ย ไม่เคยทำโพล ตอกย้ำผ่าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เปิดเผย “แค่ประเมินผู้สมัครพื้นที่ใดแข่งขันสูสี ตำรวจจะได้จัดกำลังเข้าไปดูแล” กลายเป็นแปลความไปอีกแบบ เอาเป็นว่า “ปฏิเสธอย่างถึงที่สุด”
กลยุทธ์หาเสียงหากอยู่ในกรอบกฎหมายย่อมทำให้บรรยากาศบ้านเมืองสุดแสนอภิรมย์ ประชาชนยิ้มได้ แต่เมื่อมีดีสุดขั้ว ก็ต้องมีชั่วสุดขีด จากกลยุทธ์จึงกลายเป็นกลโกงของพวกเล่นนอกเกม ทำให้สถานการณ์เลือกตั้งนำไปสู่ความ “ตึงเครียดที่สุด” พฤติกรรมเริ่มจากเบาที่สุด ด้วยการโห่ฮาตามราวีทำลายป้ายคู่แข่งทางการเมือง ไปจนถึงหนักที่สุด ด้วยการลอบยิงสังหารโหด
ข้อมูลศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศรส.ลต.ตร.) เผยตัวเลขป้ายหาเสียงของบรรดาผู้สมัครต่างๆ พบการทำลายป้ายหาเสียงทั้งหมด 1,884 ป้าย พรรคที่ถูก “ทำลายมากที่สุด” เป็นของประชาธิปัตย์ ส่วนพื้นที่ทำลายป้ายหาเสียงมากที่สุด อยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 หรือภาคกลางนั่นเอง ที่ตรงกันข้ามเหลือเกิน ตำรวจรับแจ้งเป็นคดีความ 58 คดี และจับผู้ต้องหาเผาป้ายหาเสียงได้ “น้อยที่สุด” 2 ราย ขอย้ำและขอย้ำ 2 รายเท่านั้น คือ ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และ อ.พาน จ.เชียงราย
การร้องเรียนแจ้งเบาะแสทั้งจริง-เท็จ ไหลทะลักไปยัง กกต.อย่าง “ต่อเนื่องที่สุด” อย่างกรณีศูนย์อำนวยการสืบสวนสอบสวน (ศอส.) สรุปสถิติคำร้องคัดค้าน/การแจ้งเหตุและเบาะแส/สถานการณ์ศูนย์ป้องปรามและหาข่าวประจำจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.–23 มิ.ย. ทั้ง 77 จังหวัด พบว่าจำนวนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งรวม 84 เรื่อง มากที่สุดเทไปที่จังหวัดทางภาคอีสาน โดยจำแนกข้อกล่าวหาใส่ร้าย ขู่เข็ญ หลอกลวงมากที่สุด 42 เรื่อง ให้เงิน ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด จำนวน 12 เรื่อง จัดเลี้ยง 3 เรื่อง วางตัวไม่เป็นกลาง 17 เรื่อง และป้ายหาเสียง 10 เรื่อง
การรับแจ้งเหตุและเบาะแส จำนวนทั้งสิ้น 324 เรื่อง จำแนกเป็น 1.สื่อมวลชน/เจ้าหน้าที่รัฐวางตัวไม่เป็นกลาง 32 เรื่อง 2.เก็บบัตรประชาชนไว้/จดชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 74 เรื่อง 3.ให้เงิน/ให้ทรัพย์สิน ให้ประโยชน์ 207 เรื่อง 4.ป้ายหาเสียง 5 เรื่อง และ 5.รับจัดเลี้ยง 6 เรื่อง
แต่ “โหดที่สุด” เห็นจะเป็นการตัดสินด้วยกระสุนปืน เริ่มระทึกทันทีหลังยุบสภา เมื่อคนร้ายลอบยิง ประชา ประสพดี ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย จ.สมุทรปราการ โชคยังเข้าข้างรอดตายลงพื้นที่หาเสียงกันต่อไป ตามมาด้วยการปลิดชีพ วิโรจน์ ดำสนิท นายก อบต.โผงเผง จ.อ่างทอง แม้ผลการสอบสวนเบื้องต้นชี้ว่าไม่เกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติ แต่เป็นสาเหตุการขัดผลประโยชน์ก็ต้องหาข้อสรุปกันต่อไป
ส่วนที่ “อุกอาจที่สุด” ใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อกลุ่มคนร้ายกระหน่ำยิงสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายก อบจ.ลพบุรี และเป็นหัวคะแนนให้กับพรรคภูมิใจไทย และเป็นพี่ชายของ มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช ผู้สมัคร สส.ลพบุรี เขต 2 พรรคภูมิใจไทย เสียชีวิต ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับทั้งหมด 3 ราย คือ วันชัย หรือกอล์ฟ โพธิปิติ ส่วนรายที่ 2 เป็นการออกหมายจับตามภาพวงจรปิด ทราบเพียงชื่อเล่นว่า “เอก” ส่วนรายที่ 3 ทราบว่าบุคคลดังกล่าวมีรูปพรรณสัณฐานและหน้าตาคล้าย สิระพงศ์ หรือสมบูรณ์ อาจเดช หรือต๋อง วังน้ำเขียว ที่ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ออกหมายจับในคดียิง ประชา ประสพดี
เมื่อดุเดือดถึงขั้นเลือดพล่าน ภาระหน้าที่หนักจึงตกอยู่กับเจ้าหน้าที่ดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง ทำให้เลือกตั้งครั้งนี้เป็น “ที่สุดด้านการใช้กำลังพล” เพื่อคุ้มครองผู้สมัคร สส. รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการเลือกตั้งคราวนี้ก็ทะลุแบบที่สุดของที่สุด ล่าสุดมีนักการเมืองร้องขอกำลังไปคุ้มครองความปลอดภัยแล้ว 400 กว่าราย โดย สตช.จัดตำรวจไปดูแลให้ผู้สมัคร สส. 1 คนต่อตำรวจชั้นประทวนอารักขา 2 นาย ยกเว้นผู้สมัคร สส.ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ที่จะใช้ตำรวจ 10 นายต่อ|ผู้สมัคร 1 คน ดังนั้นหากตัวเลขผู้สมัครสส.ที่ขอตำรวจไปคุ้มครองอยู่ที่ 400 ราย โดยผู้สมัคร สส.ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ขอให้ตำรวจคุ้มครอง 7 ราย เพราะฉะนั้นอย่างน้อยต้องใช้ตำรวจเกือบ 1,000 นาย
ต้องอุทาน “โอ้ว...แม่เจ้า” เห็นจะเป็นการระดมตำรวจเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ เมื่อ ผบ.ตร.กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่สอดส่องดูแล เฝ้าระวังการกระทำความผิดทุกประเภทที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยให้จับกุมผู้กระทำความผิดทันทีที่พบเห็น จึงต้องเตรียมกำลังตำรวจไว้กว่า 1 แสนนาย หรือเกือบครึ่งของตำรวจที่มีอยู่ทั่วประเทศ ไว้สำหรับปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในวันเลือกตั้ง
วิเคราะห์พื้นที่ซึ่งมีแนวโน้มการแข่งขัน “รุนแรงที่สุด” แบ่งออกมาได้ 10 จังหวัด ที่ ศรส.ลต.ตร.ต้องจับตาเฝ้าตามสถานการณ์ ส่งกำลังตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการปราบปรามเข้าไปเสริมท้องที่ ได้แก่ 1.เขตเลือกตั้งย่านชานเมือง กทม. 2.ขอนแก่น 3.ชลบุรี 4.เชียงใหม่ 5.นครราชสีมา 6.บุรีรัมย์ 7.ร้อยเอ็ด 8.อุดรธานี 9.สมุทรปราการ และ 10.อุบลราชธานี
ผู้สมัครใน 10 จังหวัดเหล่านี้ มีหลายคนที่ขอกำลังตำรวจไปคุ้มกันแล้ว บางส่วนแม้ผู้สมัครไม่ร้องขอมา แต่ ศรส.ลต.ตร.ก็ประเมินว่าควรต้องส่งกำลังตำรวจไปดูแล ทั้งนี้ยังไม่มีผู้สมัครในพื้นที่จังหวัดอื่นนอกเหนือจาก 10 จังหวัดในบัญชีเฝ้าจับตาร้องขอมา
เลือกตั้งหนนี้ไม่ว่า โหด มัน ฮา ขนาดไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่ประชาชนคนไทยปรารถนาเป็นที่สุด คือ การที่ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ เพื่อให้ประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบสุขโดยเร็วที่สุด
การก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ขึ้นอยู่กับประชาชนจะได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุดในวันที่ 3 ก.ค. เพื่อร่วมกำหนดอนาคตประเทศร่วมกัน...


