สอบรถชน"หมอมุก"แม่เชื่อฝีมือคนมีสี
สำนักปลัดบัญชีทบ. นำรถยนต์ที่คาดว่าเป็นคันที่ใช้ก่อเหตุชนหมอมุกอาการสาหัสให้สน.พญาไทตรวจสอบ แม่เชื่อฝีมือคนมีสี
สำนักปลัดบัญชีทบ. นำรถยนต์ที่คาดว่าเป็นคันที่ใช้ก่อเหตุชนหมอมุกอาการสาหัสให้สน.พญาไทตรวจสอบ แม่เชื่อฝีมือคนมีสี
เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.พญาไท เปิดเผยว่า กรณีที่ พ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร อิ่มวิทยา แพทย์ประจำโรงพยาบาลพระมงกุฏ หรือ หมอมุก ถูกนายทหารยศพันโทนายหนึ่ง ขับรถพุ่งชนที่หน้าบ้านของตนเองซึ่งเปิดเป็นคลินิก อาคาร 3 ชั้นติดถนนบริเวณทางเลียบข้างทางรถไฟสามเสน ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลวิชัยยุทธ กระเด็นไปไกลกว่า 30 เมตร อีกทั้งนายทหารคนดังกล่าวยังพยายามจะถอยรถกลับมาชน แต่ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงได้ช่วยเอาไว้ แต่นายทหารคนดังกล่าวได้เร่งรีบขับรถหนีไป แต่พ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร มีอาการสาหัส สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และผ่าตัดไปแล้ว 2 ครั้ง
ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดจากที่พ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร ต้องการนำรถเข้าไปจอดไว้ภายในบ้าน แต่เมื่อมาถึงพบรถยนต์ของนายทหารคนดังกล่าวจอดขวางไว้อยู่ แม่ของพ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร จึงออกมาจดทะเบียนรถไว้ และเดินไปร้านค้าใกล้เคียงเพื่อขอให้เจ้าของรถยนต์เลื่อนรถออกไป โดยมีรถยนต์ของพ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร จอดซ้อนคันรถที่ก่อเหตุไว้อีกชั้นหนึ่ง ส่วนพ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร ได้ลงจากรถเพื่อเข้าห้องน้ำภายในบ้านทันที
แต่เมื่อนายทหารคนดังกล่าวมาที่รถยนต์ ก็ไม่สามารถนำรถยนต์ออกไปได้ เนื่องจากมีรถยนต์ของพ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร จอดซ้อนคันไว้ จึงต้องเข็นรถออกไปเพื่อนำรถออก ประกอบกับเกิดความโมโห จึงเขียนตัวหนังสือด้วยถ้อยคำหยาบคายไว้ที่รถของพ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร และเมื่อพ.ต.แพทย์หญิงหทัยพร ออกมาเตรียมนำรถเข้าบ้าน รถยนต์ของนายทหารคนดังกล่าวที่ซุ่มอยู่ จึงขับเข้ามาชนทันที
ล่าสุดพ.ต.อ.สมาน รอดกำเนิด ผกก.สน.พญาไท เปิดเผยว่า วันนี้ (20 มิ.ย.) เวลา 13.00 น.ทางสำนักปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย จะนำรถยนต์ที่คาดว่าใช้ก่อเหตุ โดยการขับของนายทหารคนหนึ่งซึ่งขณะนี้ทางตำรวจยังไม่ทราบชื่อ เข้ามาตรวจสอบลายนิ้วมือ และตรวจสอบว่าเป็นรถยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องทะเบียนรถยนต์ที่ใช่ก่อเหตุ เรายังไม่สรุปแน่ชัดว่าเป็นทะเบียนจริงตรงกับคันที่จะนำมาให้ตรวจหรือไม่ เพราะต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง
แม่หมอมุกลั่นให้ออกมาสู้กันอย่างลูกผู้ชาย
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท พ.ต.อ.สมาน รอดกำเนิด ผกก.สน.พญาไท กล่าวถึงกรณี คดีข้าราชการทหารนายหนึ่ง ก่อเหตุขับรถชน พ.ต.แพทย์หญิง หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก แพทย์ประจำ โรงพยาบาลพระมงกุฎ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่เสารสคลีนิค เลขที่ 45 /12 ถ.เศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท ว่า รถยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุ เบื้องต้นพล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้นำรถเก๋งยี่ห้อนิสสัน สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วค 1355 เข้ามาให้ตำรวจตรวจสอบตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ เพื่อตรวจหารอยเฉี่ยวชน รวมถึงคราบเลือด แต่ไม่ทราบว่าจะรู้ผลเมื่อใด แต่ยืนยันว่าจะจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว
ขณะเดียวกัน พล.ต.พิสุทธิ์ ให้การกับพนักงานสอบสวนว่า รถยนต์คันดังกล่าวผู้ครองครองคือกรมยุทธบริการ กองบัญชาการทหารสูงสุด แต่ได้มอบให้กับสำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ไว้ใช้ในส่วนกลาง ซึ่งมีเพียงคันเดียวเท่านั้น และหากทหารนายใดจะนำไปใช้ต้องลงทะเบียนบันทึก แต่รถยนต์คันนี้ ทราบว่าถูกจอดไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ไม่มีใครใช้งานเนื่องจากหม้อน้ำแตก
ทั้งนี้ แพทย์หญิง พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาหมอมุก ได้เดินทางมาดูรถยนต์คันดังกล่าวด้วย เพราะเป็นผู้เห็นรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุชนบุตรสาวของตนเอง พร้อมกล่าวว่า รถยนต์มีลักษณะคล้ายกับคันที่ก่อเหตุ เพียงแต่แตกต่างกันที่สติกเกอร์หน้ารถ และที่ปัดน้ำฝนเท่านั้น
“ที่ผ่านมาได้เข้าพบพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เพื่อให้เร่งรัดคดีให้ พร้อมกับให้ปากคำเพิ่มเติมในวันที่เกิดเหตุ คนทำต้องเป็นคนเมา และเป็นคนมีสี อยากขอความเป็นธรรมกับตำรวจให้ช่วยนำตัวคนผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว และขอให้คนทำผิดออกมาสู้กันอย่างลูกผู้ชาย อย่าหลบซ้อน ทำไมถึงกล้าทำกับผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ปกติจะมีรถยนต์มาจอดอยู่หน้าบ้านเป็นประจำ เนื่องจากบริเวณนั้นมีร้านอาหาร แม้ที่หน้าบ้านจะเป็นที่ห้ามจอดก็ตาม โดยทุกครั้งตนก็จะจดทะเบียน เพื่อให้ทางร้านประกาศให้ผู้ที่นำรถยนต์มาจอดช่วยนำรถออกเพราะลูกสาวจะนำรถยนต์เข้าบ้าน”
แพทย์หญิง พรรณกร กล่าวอีกว่า ตอนเกิดเหตุหลังจากที่บุตรสาวออกจากบ้านเพื่อนำรถเข้าจอด ตนได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่น และเห็นภาพบุตรสาวถูกรถชนร่างกระเด็นไปไกลกว่า 30 เมตร และตนได้เก็บที่ปัดน้ำฝนของรถยนต์คันที่ก่อเหตุที่ติดอยู่กับร่างของบุตรสาวไว้เป็นหลักฐาน
"วิชัย"ยันตร.ไม่ทำงานล่าช้า
ด้านพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว เรื่องการดำเนินคดีก็จะให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนที่มองว่าทำงานตำรวจทำงานล่าช้า ขอยืนยันว่าเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติตามขั้นตอนกระบวนการกฎหมาย และที่ช้าเพราะขั้นตอนทางเอกสารในทางราชการจากนั้นพนักงานสอบสวนพร้อมเจ้าหน้าตำรวจนำรถยกเดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพไทย พบรถจอดอยู่ที่อาคาร 5 ชั้นล่าง แต่ทางเจ้าหน้าที่ทหารไม่อนุญาตให้นำรถออกไป โดยให้เหตุผลว่าต้องรอคำสั่งจากทางผู้บังคับบัญชาก่อนและจะนำไปให้เอง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเดินทางกลับต่อมา ส่ผลให้เกิดการทำงานล่าช้า แต่ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้เร็วที่สุด


