สนามเมืองช้างถึงคราว ภูมิใจไทย ถูกรุม

สนามเลือกตั้ง จ.สุรินทร์ หรือเมืองช้าง ซึ่งถูกแบ่งเป็น 8 เขตเลือกตั้ง

 
โดย...ทีมข่าวภูมิภาค

สนามเลือกตั้ง จ.สุรินทร์ หรือเมืองช้าง ซึ่งถูกแบ่งเป็น 8 เขตเลือกตั้ง เป็นพื้นที่เป็นเป้าหมายสำคัญของหลายพรรคที่ต้องการกวาดที่นั่ง สส.มาครองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และต่อรองอำนาจและตำแหน่งทางการเมืองให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่ตั้งเป้าหมายหลักถึง 5 จังหวัดอีสานใต้ ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ที่จะพยายามกวาดที่นั่ง สส.มาอยู่ในมือให้ได้มากที่สุด

แต่การที่จะกวาด สส.ให้ได้มากที่สุดอย่างที่พรรคภูมิใจไทยตั้งความหวังไว้นั้น ก็เห็นทีต้องมีอุปสรรค เมื่อยังต้องเจอศึกช้างชนช้าง อย่างพรรคเพื่อไทยที่ได้ส่งผู้สมัครลงครบทุกเขตคอยแย่งชิงห้ำหั่นตัดคะแนนออกจากพรรคภูมิใจไทย โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังไม่ใช่น้อยเลยเช่นกัน

ทั้งสองพรรคคงต้องห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดในพื้นที่สนามเลือกตั้งเมืองช้าง ต้องคอยจับตาดูเกมและกลยุทธ์ที่ต่างพรรคต่างงัดออกมาสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิด

เขตเลือกตั้งที่ 1 ตัวเต็งคือ ปกรณ์ มุ่งเจริญพร พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีดีกรีเป็นอดีต สส.ภูมิใจไทย ที่มีฐานเสียงในพื้นที่อยู่แล้ว คงต้องสู้กันแบบเชือดเฉือนคะแนนกันแบบมันหยดกับ กลยุทธ เรืองกาญจนเศรษฐ์ พรรคเพื่อไทย ซึ่งจะประมาทไม่ได้ เพราะยังคงมีกลุ่มคนเสื้อแดง นปช.สุรินทร์ คอยสนับสนุนอยู่ไม่น้อย

เขตเลือกตั้งที่ 2 การแข่งขันเขตนี้ดุเดือดมากจากตัวเต็งอยู่ 3 ค่าย อาทิ กิตติศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ พรรคภูมิใจไทย อดีต สส.เพื่อแผ่นดิน ต้องเจอกับไม้แข็งอย่าง ปิยะดา มุ่งเจริญพร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่ง ชูชัย มุ่งเจริญพร อดีต สส.ไทยรักไทย บ้านเลขที่ 111 ส่งเข้าสู้ศึกแทน อีกทั้งยังมี หริศ วีระเสถียร จากพรรคชาติไทยพัฒนา ส่งเข้าประกบและยังมีลุ้นไม่น้อย

เขตเลือกตั้งที่ 3 ตัวเต็งอย่าง สุริยะ ร่วมพัฒนา หรือกำนันแดง เลขานุการ รมช.มหาดไทย และอดีต สส.สุรินทร์ ลงสมัครในสังกัดภูมิใจไทย คงต้องห้ำหั่นคะแนนกับ คุณากร ปรีชาชนะชัย พรรคเพื่อไทย ซึ่งทั้งคู่อยู่ในพรรคที่มีประชาชนเสื้อน้ำเงินและเสื้อแดงสนับสนุนอย่างสูสีกัน ขณะที่ สุรีย์ จุไรวรรณสุทธิ พรรคชาติไทยพัฒนา ก็ตามมาติดๆ

เขตเลือกตั้งที่ 4 3 อดีต สส.โคจรมาพบกันในสนามเลือกตั้งนี้ สาธิต เทพวงศ์ศิริรัตน์ แห่งภูมิใจไทย เป็นตัวเต็งยืนนำ แม้มีดีกรีอดีต สส. และมีกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินสนับสนุนอยู่ ก็คงต้องรับศึกหนักเมื่อพบกับ ตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล พรรคเพื่อไทย ขณะที่ กรรณิการ์ เจริญพันธ์ อดีต สส.ชาติไทยพัฒนา ที่มาลงสมัครพรรคชาติไทยพัฒนา ก็น่าจับตามองและมีลุ้นตามกันมาติดๆ เพราะต่างก็มีประสบการณ์ทางการเมืองและเป็นที่รู้จักมาก่อน

เขตเลือกตั้งที่ 5 ตัวเต็งอยู่ที่ ยรรยง ร่วมพัฒนา พรรคภูมิใจไทย อดีต สส. เป็นต่อ มานิตย์ สังข์พุ่ม พรรคเพื่อไทย แต่ก็คงประมาทไม่ได้กับกระแสกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุน

เขตเลือกตั้งที่ 6 ก็เป็นเขตที่น่าสนใจและควรจับตามอง และคาดว่าจะดุเดือดไม่น้อย เพราะมีตัวเต็งบิ๊กใหญ่อยู่ถึง 3 ขั้วการเมือง โดยมี ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา พรรคชาติไทยพัฒนา อดีต สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่เพิ่งย้ายพรรค ต้องเจอศึกหนักกับ ฟาริดา สุไลมาน ที่ย้ายจากพรรคมาตุภูมิเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย ทั้งคู่จะต้องลงพื้นที่เลือกตั้งใหม่ที่อยู่นอกเขตฐานเสียงเดิม เท่านั้นไม่พอ ยังคงต้องสู้กับ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ พรรคเพื่อไทย ถึงจะเป็นหน้าใหม่ แต่ก็เกาะกระแสเสื้อแดงเหนียวแน่น

เขตเลือกตั้งที่ 7 ตัวเต็งเห็นจะหนีไม่พ้นอดีต สส.อย่าง เลิศศักดิ์ ทัศนเศรษฐ์ พรรคภูมิใจไทย ถึงจะมีฐานเสียงเดิม แต่ต้องคิดหนักเมื่อเจอไม้แข็งอย่าง สมบัติ ศรีสุรินทร์ อดีต สส.ที่พรรคเพื่อไทยส่งสู้ศึก ดีกรีอดีต รมช.ต่างประเทศ รวมทั้ง เอกพงษ์ มณีทับ จากพรรคชาติไทยพัฒนา

เขตเลือกตั้งที่ 8 เขตสุดท้ายที่น่าจับตามองไม่น้อย เพราะ ศุภรักษ์ ควรหา พรรคภูมิใจไทย เลขานุการ รมช.มหาดไทย และอดีต สส. ซึ่งชนะศึกเลือกตั้งซ่อมเมื่อปลายปี 2553 แต่คะแนนนำคู่แข่งจากเพื่อไทยทิ้งช่วงกันไม่เท่าไหร่ คราวนี้เพื่อไทยแก้เกมคัดตัว ชูศักดิ์ แอกทอง อดีต สส.หลายสมัยเข้ามาสู้ศึกแทน

ไม่เพียงแต่ความเข้มข้นในเกม แต่นอกเกมการต่อสู้ด้วยวิธีใต้ดินก็ดุเดือดเช่นกัน สารพันวิชามาร ทั้งทำลายป้ายหาเสียง รวมทั้งการเป็นหนึ่งในจังหวัดที่คาดการณ์ว่าจะมีการแข่งขันรุนแรง ทำให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามผู้สมัครทั้งที่ไม่เคยมีการร้องขอ

นอกจากนี้ กระแสความไม่พอใจของผู้สมัครบางราย ที่กล่าวหาว่าข้าราชการระดับจังหวัดวางตัวไม่เป็นกลาง บังคับนายก อบต.ผู้ใหญ่บ้านให้สนับสนุนผู้สมัครบางราย และขู่สั่งย้ายหากไม่ทำตาม

ถึงแม้ขณะนี้สนามเลือกตั้งเมืองช้างจะยังไม่เกิดเหตุรุนแรงขึ้น แต่ผู้สมัครแต่ละพรรคต่างก็เริ่มงัดกลยุทธ์ออกมาสู้กันแล้ว ซึ่งคาดว่าใกล้วันเลือกตั้งเท่าไหร่ ความดุเดือดก็จะเกิดมากขึ้นตามมา ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นไปโดยปราศจากการใช้ความรุนแรง