G8 รุกหนัก จัดระเบียบอินเทอร์เน็ต
แม้การประชุมสุดยอดผู้นำ G8 จะจบลงอย่างไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านๆ มา
แม้การประชุมสุดยอดผู้นำ G8 จะจบลงอย่างไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านๆ มา
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
แม้การประชุมสุดยอดผู้นำ G8 จะจบลงอย่างไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านๆ มา ด้วยผลสรุปที่สามารถคาดเดาได้ตั้งแต่แรกเปิดเผยวาระการประชุม แต่ในวันสุดท้ายของการประชุม ยังมีเรื่อง “เซอร์ไพรส์” เกิดขึ้นในเวทีนอกรอบการประชุมผู้นำ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำโลกอินเทอร์เน็ต หรือ e-G8 Summit จัดขึ้นที่เมืองโดวิลล์ ของฝรั่งเศส สถานที่เดียวกับที่ผู้นำนานาประเทศกำลังหารือกันถึงทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก
ที่ประชุม e-G8 เป็นการรวมตัวกันของผู้นำจากธุรกิจอินเทอร์เน็ตมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก แห่ง Facebook เอริก ชมิดต์ แห่ง Google และบรรดาผู้บริหารของบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และบริษัทคอมพิวเตอร์ระดับโลก เช่น eBay และ Microsoft
โดยทั่วไปสาธารณชนอาจเข้าใจว่าที่ประชุม e-G8 จะเกี่ยวข้องกับเชิงเทคนิคของโลกออนไลน์ หรืออาจเป็นเรื่องในเชิงธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป
แต่ในความเป็นจริงเวทีนี้กลับกลายเป็นการกำหนดอนาคตของโลกออนไลน์ไปโดยปริยาย ซ้ำยังกลายเป็นจุดสนใจของชาวโลก เมื่อประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส ในฐานะเจ้าภาพ กลับโยนระเบิดลูกโตใส่กลางที่ประชุม
ผู้นำฝรั่งเศสเรียกร้องให้มีการจัดระเบียบโลกออนไลน์ ไม่ให้กลายเป็นพื้นที่ที่เสรีจนเกินไป อันจะกลายเป็นปัจจัยที่บั่นทอนเสถียรภาพของรัฐ โดยอ้างขบวนการก่อการร้ายผ่านโลกออนไลน์ การก่อหวอดของกลุ่มอนาธิปไตยที่ใช้อินเทอร์เน็ตโจมตีอำนาจรัฐ ไปจนถึงปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์
ซาร์โกซี อุตส่าห์ยกสำนวนโวหารที่หรูหรา โดยเรียกแนวคิดของตนว่า “อินเทอร์เน็ตอันศิวิไลซ์”
แต่สุนทรพจน์เดียวกัน ซาร์โกซี ยังหลุดปากออกมาด้วยว่า ต้องการ “การปฏิวัติโลกอินเทอร์เน็ตอย่างเบ็ดเสร็จ” พร้อมเรียกร้องภาคธุรกิจออนไลน์ไม่ให้หลงใหลกับ “โลกคู่ขนาน” “ดินแดนอนาธิปไตย” และ “จักรวาลที่ปราศจากศีลธรรม” ของอินเทอร์เน็ต
คำกล่าวของ ซาร์โกซี แฝงไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างชัดเจน แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสิ่งที่ ซาร์โกซี หวั่นใจคืออะไร แต่ปรากฏการณ์ “พลิกฟ้า คว่ำดิน” ในโลกอาหรับ อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าผู้นำโลกที่มีแนวโน้มอำนาจนิยมและขวาจัดเหมือน ซาร์โกซี มีเหตุผลที่จะต้องกลัวเสรีภาพไร้ขีดจำกัดของอินเทอร์เน็ต และพลังงานของเครือข่ายสังคมออนไลน์
เป็นที่ทราบกันดีว่าอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่เสรีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศสนับสนุนการแสดงความเห็นอย่างเสรี แม้กระทั่งประเทศเผด็จการที่สุด อินเทอร์เน็ตยังเป็นทางออกที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยให้กับผู้ที่แสวงหาเสรีภาพ
แนวคิดของ ซาร์โกซี ย่อมถูกมองได้ไม่ยากว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลอง
ข้อเสนอของ ซาร์โกซี สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และการเมืองที่ตกค้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ที่เรียกว่าลัทธิพาณิชย์นิยม หรือ Mercantilism ซึ่งเห็นว่ารัฐควรเข้ามากำกับการค้าเสรีหรือการติดต่ออย่างเสรีระหว่างประเทศ เพื่อธำรงความมั่งคั่งและความมั่นคงแห่งรัฐไว้
ลัทธินี้ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับลัทธิเสรีนิยม ซึ่งประเทศใหญ่ในโลกตะวันตกปรับใช้เป็นแนวทางเศรษฐกิจและการเมืองจนกระทั่งทุกวันนี้ อีกทั้งยังบูชาแนวคิดของลัทธิเสรีนิยมอย่างเต็มที่ จึงไม่น่าประหลาดใจที่ทัศนะของผู้นำฝรั่งเศส จึงขัดแย้งกับจุดยืนของมิตรประเทศร่วมภูมิภาคอย่างสิ้นเชิง
ปฏิกิริยาต่อต้านจากที่ปรึกษารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน โดยนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ยืนยันว่าจะไม่มีการสกัดกั้นการแสดงความเห็นทางอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน และข้อเสนอของ ซาร์โกซี ไม่อาจทำได้จริง
แนวคิดของ ซาร์โกซี มิใช่เรื่องล้าหลังจากศตวรรษที่ 17 แต่เป็นทัศนะที่ไม่เคยตายไปจากโลก และยังเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่า รัฐมักยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเสมอ หากเห็นว่าเสรีภาพเริ่มก้าวไปไกลกว่าอำนาจรัฐจะควบคุมได้ ถึงแม้ว่าการแทรกแซงเสรีภาพอาจบั่นทอนความมั่งคั่ง แต่รัฐมักเห็นความมั่นคงเป็นอันดับแรก
แม้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะแนวคิดของ ซาร์โกซี เน้นความมั่นคงทางการเมือง ส่วนลัทธิพาณิชย์นิยมเน้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่การใช้อำนาจรัฐควบคุมอินเทอร์เน็ต เท่ากับบั่นทอนการค้าเสรีเช่นกัน
จอห์น เพอร์รี บาร์โลว์ ผู้ก่อตั้ง Electronic Frontier Foundation มูลนิธิเพื่อสิทธิด้านการสื่อสารด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ถึงกับกล่าวว่า “อินเทอร์เน็ตเป็นเสมือนดินแดนแห่งใหม่ที่รัฐพยายามเข้าครอบครอง”
คำกล่าวของ บาร์โลว์ สะท้อนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับโลกตะวันตกเมื่อศตวรรษที่ 17 อย่างเหลือเชื่อ ในยุคนั้นการค้าเสรีได้เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชน โดยเฉพาะจากยุโรปตะวันตก เช่น อังกฤษและเนเธอร์แลนด์ เดินทางไปทุกมุมโลกเพื่อค้าขาย โดยมีการจัดตั้งสถานีการค้าเพื่อความสะดวก
แต่ในเวลาต่อมารัฐบาลเข้ายึดกิจการการค้าเสรีเพื่อผลประโยชน์และอำนาจแห่งรัฐ ยังผลให้การค้าเสื่อมโทรม กลายเป็นการขูดรีดประเทศคู่ค้าอย่างซึ่งๆ หน้า จนกระทั่งต้องตกเป็นอาณานิคม ส่วนสถานีการค้ากลายเป็นฐานทัพของนักล่าอาณานิคม มิใช่นายวาณิชย์ผู้เสรี
หากอินเทอร์เน็ตตกอยู่ในสภาพเดียวกับสถานีการค้าในศตวรรษที่ 17 ความคิดอ่านของมนุษย์ที่เสรีจะไม่เพียงตกอยู่ในการควบคุมโดยข้ออ้างด้านความมั่นคงเท่านั้น แม้แต่โอกาสในการประกอบธุรกรรมอย่างไม่มีขีดจำกัดยังจะถูกบั่นทอนไปด้วย
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. eBay และ PayPal ยังฟ้องร้อง Google ที่ละเมิดข้อมูลธุรกรรมทางการค้าและการเงินที่เป็นความลับ ซึ่งกรณีนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่การละเมิดในระดับธุรกิจด้วยกันยังขัดขวางความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจถึงเพียงนี้ หากรัฐบาลยื่นมือเข้ามาล้วงความลับ เศรษฐกิจจะซบเซาลงเพียงใด
ขณะนี้มีหลายบริษัทที่ยอมคล้อยตามมาตรการแบ่งปันข้อมูลของรัฐบาลอำนาจนิยม เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ Google ที่จีน หรือกระทั่งคำขู่ปิด Youtube ของรัฐบาลไทย
หาก G8 เห็นดีเห็นงามกับการจัดระเบียบอินเทอร์เน็ต จนกลายเป็นแรงกดดันให้ภาคธุรกิจต้องคล้อยตาม อาจนำไปสู่ปฏิกิริยาโต้กลับรุนแรงจากผู้ใช้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ของ โทนี วัง แห่ง Twitter ที่กล่าวว่า บริษัทของตนพร้อมที่จะ “แบ่งปัน” ข้อมูลผู้ใช้บริการ Twitter กับรัฐบาลต่างๆ หากเป็นไปตามข้อกฎหมายของประเทศนั้นๆ
แม้จะเป็นการอ้างข้อกฎหมาย แต่ต้องไม่ลืมว่าการคล้อยตามกฎหมายที่กดขี่สิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ถือเป็นการ “ละเมิด” มิใช่ “แบ่งปัน”
บริษัทอย่าง Google หรือกระทั่ง Facebook หรือ Twitter จะหมดความสำคัญและมูลค่าด้านการตลาดจะดิ่งวูบทันที เพราะประชาชนที่ไม่ต้องการตกอยู่ในพันธนาการของรัฐจะแสวงหาระบบออนไลน์รูปแบบใหม่เพื่อแสดงความเห็นของตน โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองจากรัฐหรือบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ร่วมมือกับรัฐ
เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่ว เฉพาะ Facebook และ Twitter ที่อาจมีมูลค่าตลาดรวมกันเกือบ 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่มูลค่าที่ว่านี้จะไร้ค่าไปในทันที ที่บริษัทดังกล่าวยอมรับการจัดระเบียบอินเทอร์เน็ต
แต่ก็ยังไม่เท่ากับการสูญเสียเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และเสรีภาพในการประกอบธุรกิจอย่างไร้ขีดจำกัด
ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลไม่ควรดึงเทคโนโลยีให้ช้าลง แต่ควรก้าวให้ทันหรือเหนือกว่าเทคโนโลยี เพราะวิวัฒนาการของมนุษย์มีแต่เดินก้าวหน้า ไม่มีวันย้อนกลับไปสู่ความล้าหลัง
วันนี้เราอยู่ในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ศตวรรษที่ 17


