posttoday

นโยบายเศรษฐกิจ ติดแบรนด์

24 พฤษภาคม 2554

การเลือกตั้งครั้งนี้ ในภาพรวมแล้วเป็นมวยคู่เอกระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

การเลือกตั้งครั้งนี้ ในภาพรวมแล้วเป็นมวยคู่เอกระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

 
โดย...ทีมข่าวการเงิน

การเลือกตั้งครั้งนี้ ในภาพรวมแล้วเป็นมวยคู่เอกระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่จะชกกันแบบเอาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นเดิมพัน

ต้องยอมรับว่าการทำการตลาดทางการเมืองได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างสูง เพราะมาตรฐานการเลือกตั้งครั้งที่พรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำไว้นั้น ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแบรนด์ของพรรคไทยรักไทย แม้จะกลายพันธุ์มาเป็นพรรคพลังประชาชน และสุดท้ายเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ยังชู พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแบรนด์ในการหาเสียง

นอกจากนี้ นโยบายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ริเริ่มไว้ยังติดตราตรึงใจชาวบ้าน จนพูดขึ้นมาเมื่อไหร่จะต้องนึกถึงทุกครั้ง คือ นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือที่เรียกกันติดปากไปแล้วว่าโอท็อป และทำให้คำว่าเอื้ออาทรติดปากคนไปทั้งประเทศ

นโยบายเศรษฐกิจ ติดแบรนด์

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์นั้น ด้วยความเป็นสถาบัน จึงไม่ได้มีการชูใครขึ้นมาเป็นพิเศษ มีเพียงการชูนโยบายขึ้นมาใช้ในการหาเสียง แต่แบรนด์ของ ปชป.ก็ไม่ได้แข็งจนทำให้คนนึกถึงได้ตลอดเวลาเหมือนพรรคคู่แข่ง เรื่องนี้จึงจะเป็นปัญหาของ ปชป. ที่จะต้องสร้างนโยบายขึ้นมาให้ติดตราตรึงใจประชาชนให้ได้

นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เคยให้ความเห็นว่า ปชป.จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง ด้วยการมีนโยบายของตัวเองที่ริเริ่มโดยไม่ได้ไปต่อยอดจากนโยบายของใคร ซึ่งจะเป็นแบรนด์ที่ใช้ในการหาเสียง และทำให้ประชาชนจดจำได้เหมือนคู่แข่ง ก็จะทำให้โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งมีมากขึ้น แต่หากไม่สามารถมีแบรนด์เป็นของตัวเองได้ก็คงเหนื่อย

สิ่งที่ประธานทีดีอาร์ไอกล่าวนั้น ได้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว เพราะวันนี้ทาง พท.เอง ก็นำเอาแบรนด์ของตัวเอง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นมาชูในการหาเสียง

“ขนาดน้องสาวมายังขนาดนี้ ถ้าพี่มาจะขนาดไหน” เป็นตอนหนึ่งในการหาเสียงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 ของ พท. ตัวเก็งนายกฯ ของ พท. ส่วนนโยบายประชานิยมอื่น ที่เด่นๆ นั้นไม่มี ใช้วิธีเกทับบลัฟแหลก หาก ปชป.เปิดนโยบายอะไรมาก็เกทับลงไป เช่น

ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ปชป.ตั้งเป้าจะขึ้น 250 บาท พท.ก็เกทับลงไปว่าจะให้ 300 บาท

การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ปชป.จะลดให้ 20% พท.เกทับลงมาเป็น 25% เป็นต้น

การเกทับนั้น แม้จะไม่บอกที่มาที่ไปว่าจะนำเงินจากไหนมาใช้ในการดำเนินการ แต่ พท.ก็ใช้การตอกย้ำว่าทำได้โดยชูว่าเหมือนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำมาแล้ว

อย่างไรก็ดี กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และแกนนำคนสำคัญของ ปชป. กล่าวว่า การสร้างแบรนด์ของ ปชป.นั้นไม่ได้สร้างที่ตัวบุคคล แต่ทางพรรคได้ทำด้วยนโยบาย แบรนด์ของ ปชป.ก็คือ เรื่องของนโยบายประกันรายได้เกษตรกร การเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ เบี้ยคนชรา และการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ที่เป็นเรื่องแรกๆ ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาดำเนินการ

ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น เราแสดงให้เห็นว่า แม้จะเป็นนโยบายของรัฐบาลอื่น แต่ถ้าเป็นนโยบายที่ดี เราไม่ได้ติดใจ และจริงๆ เราก็พยายามทำให้มันดีขึ้นมากกว่า เช่น เรื่องของ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่แต่เดิมเม็ดเงินงบประมาณที่จัดสรรให้ต่อหัวเดิมที่ 1,300 บาท ตอนนี้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มให้เป็น 2,800 บาท จนกระทั่งมีผู้ทำประกันสังคมโวยว่ารักษาฟรีได้สิทธิการรักษาที่มากกว่า อย่างนี้แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

“ต้องให้เครดิตที่อีกพรรคเป็นผู้ริเริ่ม เราเคยวิจารณ์ว่าเงินงบประมาณที่จัดสรรให้น้อย เมื่อเราเข้ามาเป็นรัฐบาลก็เพิ่มให้อย่างที่ได้พูดไว้” กรณ์ ระบุ

รมว.คลัง มองว่า ทุกคนรู้ความแตกต่างของนโยบายดี แต่พรรคประชาธิปัตย์จะให้น้ำหนักกับรายละเอียดของนโยบาย ว่าจะทำอย่างไรให้ปฏิบัติได้จริง และมีผลอย่างไร ด้วยความที่เราคิดมาก วิธีการนำเสนอจึงมีรายละเอียดมาก

“เรากระดากที่จะพูดว่า ค่าแรง 300 บาท ใครก็พูดได้ ฝันได้ แต่ต้องบอกว่า ด้วยดีเอ็นเอของพวกเรา เราไม่ทำ แม้จะรู้ว่าโดนใจกว่าก็ตาม” กรณ์ ระบุ

อย่างไรก็ดี น่าแปลกใจว่านโยบายกรณ์กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ริเริ่มโดย ปชป.กลับไม่มีใครได้พูดถึงมากนัก หรือเมื่อพูดถึงนโยบายนี้ต้อง ปชป.

“การที่คนไม่จดจำ แสดงว่านโยบายนั้นยังไม่โดนใจอย่างแรงทำให้ประทับใจอย่างสูงสุด หรือไม่ทำแล้วได้มีการชูประเด็นขึ้นมาทำการตลาดให้ชัดๆ เหมือนที่พรรคคู่แข่งทำ” นิพนธ์ กล่าว

เมื่อแบรนด์เป็นจุดขายของพรรคการเมือง ณ ขณะนี้ ปชป.ตกเป็นรอง พท.ในเรื่องของความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเรื่องการบริหารเศรษฐกิจเห็นได้จากโพลของทุกสำนักที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เริ่มมีภาพลักษณ์ตีตื้นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ทิ้งห่างกันน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งจะเหมือนกับว่าอภิสิทธิ์สู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นเอง

ดังนั้น โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง คาดว่าจะเห็น ปชป.เพิ่มจุดขายและทำการตลาดให้ชัดเจนกว่านี้ในการตอกย้ำแบรนด์ และสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารเศรษฐกิจว่าทำได้และทำดีกว่าคู่แข่ง

ปัญหาหนักของประชาชนในขณะนี้ก็คือเรื่องปากท้อง ที่เกิดภาวะของแพงค่าจ้างถูก นโยบายกระจายทรัพยากรให้กับคนทุกชนชั้นของ ปชป.ต้องชัดเจน ไม่กระจุกอยู่ที่ชนชั้นกลางอย่างที่โดนคู่แข่งถล่ม ศึกเลือกตั้งเพิ่งเริ่มต้น การปรับกลยุทธ์ยังทำได้ตลอดเวลา

เมื่อสงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา