posttoday

สุนีย์ ตริยางกูรศรี ล้มแล้วลุกจนมีชัยชนะ

07 กุมภาพันธ์ 2553

...นิลา สิงห์คีรี

ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง ขอเพียงอย่าท้อแท้ หรือท้อถอย สักวันหนึ่งอาจลุกขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าได้เหมือนเธอผู้นี้ แม้ชีวิตจะเคยตกต่ำสุดขีดแต่ก็กัดฟันสู้ จนสร้างอาณาจักร มีธุรกิจเป็นของตัวเองมูลค่านับร้อยนับพันล้านบาท

สุนีย์ ตริยางกูรศรี แม้จะสูงวัย 68 ปีแล้ว แต่ก็ยังกระฉับกระเฉง ทำให้รู้ว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่เป็นอุปสรรคเลย ปัจจุบันนี้จะเห็นภาพของอาม่าใจดีที่ลูกหลาน รวมทั้งพนักงานของบริษัท เรียกแทนตัวเพื่อสื่อถึงความผูกพัน เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ อยู่ใกล้รู้สึกอบอุ่น ยังคงทำงานอยู่

สุนีย์ พื้นเพเดิมเป็นคน จ.สุรินทร์ มีพี่น้อง 6 คน อยู่ในครอบครัวที่ทำการค้าขายที่พอจะมีกินมีใช้ แต่เมื่อคุณพ่อเหล่าเตียเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ทำให้ชีวิตครอบครัวลำบาก ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป ขาดผู้นำและที่พึ่งทางใจ ทำธุรกิจให้เริ่มมีปัญหา ยิ่งเมื่อพี่สาวแต่งงาน คุณแม่ก็ให้ลาออกจากโรงเรียน มาช่วยที่บ้านทำการค้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เริ่มเข้าสู่วงการค้าขายเต็มตัว

ออกมาช่วยธุรกิจครอบครัวอยู่หลายปี ก็แต่งงานกับ เบญจชาย ตริยางกูรศรี ชาว จ.อุบลราชธานี แล้วย้ายมาอยู่ จ.อุบลราชธานี มาอยู่ใหม่ๆ ไม่ได้ทำอะไร ก็ไปเรียนบัญชี ส่วนสามีเรียนจบทางช่างวิทยุ เลยไปเปิดร้านขายวิทยุและซ่อมวิทยุ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะช่วงนั้นสถานีวิทยุถูกสั่งปิด จอมพลถนอม กิตติขจร ไม่ให้มีสถานี ให้มีแต่ข่าวบ้านเมือง และให้มีการเปิดสถานีใน 3 ช่วง คือ เช้า เที่ยง บ่าย การขายเลยทำให้วิทยุซบเซามาก

ช่วงนั้นชีวิตย่ำแย่ ไม่รู้จะทำอย่างไร มองเห็นว่าบ้านอยู่หน้าตลาดน้อย น่าจะมาขายเมล็ดพันธุ์ผัก ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช แม้ไม่มีทุนอะไรมากก็กัดฟันค้าขายไป

ประกอบกับเป็นช่วงคลอดลูกคนที่ 2 ก็มาเจอไวรัสบีลงตับ เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล เด็กที่เกิดในช่วงนั้นเป็นกันทุกคน และส่วนใหญ่เสียชีวิต

สุนีย์ เล่าอย่างรันทด ฐานะครอบครัวยังไม่มีอะไร ต้องกัดฟันพาลูกไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ ต้องหยิบยืมเงินเพื่อพาลูกไปหาหมอ นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานถึง 58 วัน ทำให้เป็นคนคิดมาก เพราะไปยืมเงินเขามา คิดตลอดว่าจะทำอย่างไร เงินสินสมรสก็เอามาใช้จนหมดแล้ว

ช่วงปี 25112512 ได้ค้าขายสินค้าเกี่ยวกับการเกษตรเมล็ดพันธุ์ผักและปุ๋ย หลังร้านก็ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป กลางคืนก็ไปดูเขาเย็บผ้าโหล หน้าหนาวก็ซื้อเสื้อหนาวของเด็กมาขาย

ชาวบ้านที่มาตลาดก็เริ่มรู้จัก ด้วยความมุมานะไม่ย่อท้อต่อความลำบาก ทำให้กิจการค้าขายเติบโต กลายเป็นร้านขายสินค้าเกษตรใหญ่ของจังหวัด และได้เป็นตัวแทนผู้จำหน่ายปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์พืช และอาหารสัตว์

พอลูกเริ่มโตขึ้นก็มามองหาขายของไปเรื่อยๆ ลูกจะต้องไปทำงานรับจ้างเขาแน่เลย เพราะอาชีพซื้อมาขายไป ไม่ใช่สิ่งที่ลูก 4 คนจะมาอยู่รวมกับเรา ในที่สุดก็มามองเห็นว่าจะลองทำด้านปศุสัตว์ เลี้ยงไก่ ขายไก่ ขายลูกไก่ ขายอาหารสัตว์ เลือกทำธุรกิจไก่ เพราะเป็นโครงการที่ทำได้ตลอดทั้งปี ไม่เหมือนปลูกผักขายผัก มีฤดูกาลปลูก จึงเป็นที่มาของธุรกิจ ก้าวหน้าไก่สด

เริ่มแรกตั้งชื่อร้าน ก้าวหน้า คือธุรกิจขายลูกไก่และอาหารสัตว์ ปัญหาที่พบมากในช่วงแรก ไก่ขายไม่ได้เนื่องจากในธรรมชาติมีอาหารจำนวนมาก อาทิ ปู ปลา เขียด และกบ ทำให้คนที่ซื้อไก่ไปเลี้ยงขายไก่ไม่ได้ จึงต้องให้อาหารไปเลี้ยงไก่ ถ้าไม่ให้ก็จะเป็นบาปหากไก่ตาย

สุนีย์จึงพยายามหาวิธีพลิกแพลง นำไก่ใส่กล่องไปขายในต่างจังหวัด เช่น ขอนแก่น ไปขายให้กับสีนวลฟาร์ม และวิโรจน์ฟาร์ม ช่วยระบายไก่ออกไป บางครั้งก็เอาอาหารแลกกับไก่ ในที่สุดก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ แต่ปัญหาต่างๆ ก็ไม่ได้หมดไป เนื่องจากไม่มีความรู้ทางด้านการปศุสัตว์เลย

แต่ก็พยายามศึกษาจากหนังสือและไปขอคำปรึกษาจากผู้รู้ที่เขามีประสบการณ์และปรึกษาทางภาครัฐ

นอกจากนี้ ยังต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายด้วยตัวเอง เพราะกิจการยังไม่เติบโตพอที่จะจ้างลูกจ้าง ช่วงนั้นทำงานหามรุ่งหามค่ำ มีเวลาในการพักผ่อนเพียงวันละ 23 ชั่วโมงเท่านั้น

นางก้าวหน้าเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปาก ส่วนชื่อร้านก็ชื่อ ก้าวหน้า เป็นการแปลจากภาษาจีนมาเป็นไทย ภาษาจีนก็ก้าวหน้า คำว่าก้าวหน้าเป็นคำที่ไม่ตาย อมตะตลอด เป็นการก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ในที่สุดก็ตั้งชื่อ ก้าวหน้าธุรกิจขายไก่และอาหารสัตว์

สุนีย์ เล่าว่า ธุรกิจไก่เริ่มแรกเป็นธุรกิจที่เปลี่ยนผ่านและพัฒนาการดำเนินกิจการ เริ่มต้นจากโครงการไก่จ้างเลี้ยงและพัฒนาไปสู่โครงการไก่ประกันราคา ที่มีสมาชิกเข้าร่วมกว่า 1,300 รายในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และมุกดาหาร

ตลอดจนได้พัฒนาธุรกิจมาเป็นบริษัท ก้าวหน้าไก่สด เป็นธุรกิจเลี้ยงไก่เพื่อการส่งออกแบบครบวงจร ประกอบด้วย ฟาร์มไก่ พ่อแม่พันธุ์ โรงฟักไข่ โครงการไก่กระทง และโครงการชำแหละไก่สดแช่เข็ง และไก่ปรุงสุกแช่แข็ง เพื่อการส่งออกจำหน่ายต่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ และโรมาเนีย ทำรายได้เข้าประเทศไม่ต่ำกว่าพันล้านบาทต่อปี

สุนีย์ เล่าถึงความภาคภูมิใจในการคืนกำไรให้กับชาว จ.อุบลราชธานี ด้วยการซื้ออาคารโรงพยาบาลมาเป็นโรงแรมที่ทันสมัย เดิมไม่ได้คิดว่าจะซื้อที่แปลงนี้ เพราะไม่ทราบว่าเขาจะประมูลขาย

ก่อนนั้นได้ไปซื้อที่ดินถนนรอบเมือง บริเวณตรงข้ามกับเซียงกง ถมดินและจะปลูกสร้างตึกสุนีย์อยู่ที่นั่น เมื่อมีการประมูลขายทอดตลาดจึงไปซื้อ เริ่มแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะทำโรงแรม แต่อาคารดังกล่าวมีห้องถึง 280 กว่าห้อง ทำให้ต้องปรับปรุงเป็นโรงแรม ต้องเสียค่าโอนถึง 40 ล้านบาท หากเป็นที่ดินเปล่าๆ ไม่ต้องเสียค่าโอนมากขนาดนี้ ค่าที่ดิน 300 ล้านบาท และเงินลงทุนสร้างอีกนับเป็นพันล้านบาท

สุนีย์ บอกว่า การสร้างตึก มองไม่เห็นผลกำไร แต่ก็อยากทำ ตอบแทนสังคม ส่วนเรื่องของทรัพย์สินนั้น ครอบครัวตริยางกูรศรีไม่มีปัญหา ลูก 4 คน เป็นใจเดียวกัน รักใคร่กลมเกลียวกันดี ครอบครัวเราทุกคนได้สิทธิเท่ากันหมด ไม่มีเรื่องบาดหมาง เงินมันจะเข้ากองกลางและแยกออกมาชัดเจน ใครทำกำไรหรือไม่ทำกำไร

สิ่งที่สอนลูกเสมอคือ ความซื่อสัตย์ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก จะต้องมีจริยธรรม ฉันไม่ยอมเรื่องการจะไปโกงใคร ให้ลูกทำอะไรที่ตรงไปตรงมา ตอนที่เรายากจน เราไม่ขอใคร ไม่โกงใคร และไม่เอารัดเอาเปรียบใคร หรือให้ลูกทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ฉันเชื่อได้เลยว่าเงินทองของก้าวหน้านี้แน่นอนเป็นเงินเย็น อยู่ได้สบายๆ นอนหลับไม่มีอะไรที่จะมาตะขิดตะขวงใจ

สิ่งที่สุนีย์ภาคภูมิใจมาก คือการได้รับสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นหนึ่ง ถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต

ขณะที่สิ่งดีๆ ที่เป็นความมุ่งมั่นของสุนีย์ คือเรื่องการศึกษาที่เรียนรู้ไม่มีวันจบ ในวัยเด็กแม้จะต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อมาช่วยแม่ขายของ แต่มาวันนี้ด้วยความมุมานะทำให้เรียนจนจบปริญญาตรี วิชาเอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

ชีวิตของคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ถ้าล้มแล้วลุกขึ้นมาสู้อย่างไม่ย่อท้อก็ประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างดีๆ ของสุนีย์ คงสอนใจให้คนที่ท้อแท้ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อให้ชีวิตประสบความสำเร็จบ้าง ใครจะไปรู้สักวันหนึ่งอาจจะได้เป็นเจ้าของธุรกิจพันล้านก็ได้ !!!

ข่าวล่าสุด

คดีพลิก สหรัฐฯปลดล็อกขายชิปให้จีน แต่รัฐบาลจีนอาจไม่อยากซื้อ