ส.ส.-ส.ว.ทำงานคุ้มค่าจ้างจริงหรือ?
1เม.ย.ข้าราชการเฮเงินเดือนขึ้น ขณะที่ส.ส.-สว.ได้อานิสงส์กระเป๋าตุง ถามผู้แทนราษฎรคุ้มค่าแล้วหรือกับการได้รับภาษีอากรจากประชาชนเพิ่มเป็นค่าตอบแทน
1เม.ย.ข้าราชการเฮเงินเดือนขึ้น ขณะที่ส.ส.-สว.ได้อานิสงส์กระเป๋าตุง ถามผู้แทนราษฎรคุ้มค่าแล้วหรือกับการได้รับภาษีอากรจากประชาชนเพิ่มเป็นค่าตอบแทน
โดย ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
วันที่ 1 เม.ย. ของทุกปี ถูกยกให้เป็น “วันข้าราชการพลเรือน” ซึ่งในปีนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มอบของขวัญให้กับข้าราชการทุกประเภทในสังกัดราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พนักงานราชการและลูกจ้างของส่วนราชการ ด้วยการขึ้นเงินเดือน เฉลี่ยร้อยละ 5 เท่ากันทุกคน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป เข้าใจได้ว่าเพื่อปรับค่าตอบแทนให้กับข้าราชการ ซึ่งเป็นผู้ทำงานรับใช้ประชาชน ให้สมกับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างหนักและต่อเนื่องในปีที่ผ่านๆ มา
แต่การปรับเงินเดือนให้ครั้งนี้ เห็นทีว่าจะสร้างผลพลอยได้ให้กับ “นักเลือกตั้ง” คือ ส.ส.และ ส.ว. ฐานะข้าราชการการเมือง โดยผลจากการปรับขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทน ทำให้ ส.ส.และ ส.ว.มีรายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่ก็จะมีผลจนกว่าจะได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป และให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับ เลือกตั้งจากการเลือกตั้งทั่วไปดังกล่าวได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มตามบัญชีเงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ตั้งแต่วันเข้ารับหน้าที่
โดยจากการตรวจสอบในพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2554 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว พบว่า “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับเงินประจำตำแหน่ง 75,590 เป็นเงินเพิ่ม 50,000 ประธานวุฒิสภา 74,420 เป็นเงินเพิ่ม 45,500 รองประธานสภาผู้แทนราษฎร 73,240 เป็นเงินเพิ่ม 42,500 รองประธานวุฒิสภา 73,240 เป็นเงินเพิ่ม 42,500 ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 73,240 เป็นเงินเพิ่ม 42,500 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 71,230 เป็นเงินเพิ่ม 42,330 และสมาชิกวุฒิสภา 71,230 เป็นเงินเพิ่ม 42,330
ดังนั้น การปรับเงินเดือนครั้งนี้ของนักการเมือง ดูจะเป็นเพียงการสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองมากกว่าการสร้างประโยชน์เพื่อชาติ และประชาชน ซึ่งปรากฏการณ์ที่สะท้อนภาพการทำงานให้เห็นเด่นชัด การทำงานในการประชุมสภาฯ ที่นับจะคาดเดาได้ไม่ยากว่า “ล่มหรือไม่ล่ม”
โดย “นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา” กล่าวกับสื่อมวลชน...ระบายความในใจ ที่ไม่สามารถควบคุม ผู้แทนราษฎรให้ แสดงตนในจังหวะของการนับองค์ประชุมเพื่อลงมติในร่างกฎหมายที่สำคัญ ว่า “ส่วนหนึ่งเพราะใกล้ถึงวันยุบสภา นักเลือกตั้งที่เสพติดวงการการเมือง ก็ต้องลงพื้นที่คลุกคลีกับประชาชน เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับเลือกตั้ง อีกส่วนเพราะการเล่มเกมทำลายรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย อย่างการประชุมเมื่อวันที่ 29-30 มี.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่เรียกให้สมาชิกสภา เสียบบัตรแสดงตน เห็นชัดว่า สมาชิกฝ่ายค้านนั่งอยู่ในห้องประมาณ 100 คน ไม่ได้เสียบบัตร พวกเขาคิดว่าการประชุมจะทำเข้าก็ หรือไม่เข้าก็ได้ สุดท้ายพอสิ้นเดือนก็มารับค่าตอบแทนไป”
ดังนั้นจึงไม่แปลก...ที่ก่อนหน้าจะถึงวันปรับขึ้นเงินเดือนให้กับ “ข้าราชการการเมือง” ถูกกระแสสังคมต่อต้าน เช่น พรรคการเมืองใหม่ ที่ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอนมติครม.วันที่ 14 ธ.ค. 53 ที่ประกาศจะขึ้นเงินเดือนกับพวกเล่นการเมือง เพราะเห็นว่าเป็นการสร้างภาระทางการเงินให้แก่รัฐโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่จำเป็น อีกทั้งยังขัดกับรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 167 ที่ได้วางแนวทางในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐไว้, กลุ่ม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ที่ถึงกับตั้งเครือข่ายออนไลน์ หรือ เฟซบุ๊คให้คนท่องอินเตอร์เน็ตที่เห็นค้านมาร่วมแสดงความเห็น, กลุ่มพลเมืองขอนแก่น ได้ให้เหตุผลว่าการอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาปรับบัญชีเงินเดือนของบุคลากรภาครัฐรวม 9 ฉบับ โดยปรับให้ข้าราชการทุกประเภทมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ทำให้ทั้งส.ส.และ ส.ว. ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน 14.7 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าส.ส.และส.ว.หลายคน ขาดการประชุม ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ดังนั้น จึงไม่สมควรใดๆ ที่จะมีการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือน
และการนำเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี จะต้องจัดทำเอกสารประกอบ ซึ่งรวมถึงประมาณการรายรับและวัตถุประสงค์ กิจกรรม แผนงาน โครงการในแต่ละรายการของการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจน รวมทั้งสถานะทางการเงินการคลังของประเทศเกี่ยวกับภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้จ่าย และการเงินการคลังของประเทศเกี่ยวกับภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้จ่าย และการจัดหารายได้ ประโยชน์ และการขาดรายได้ ความจำเป็นในการตั้งงบประมาณผูกพันข้ามปี ภาระหนี้และการก่อหนี้ของรัฐ แต่คณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้ปฏิบัติตาม
อีกทั้งมาตรา 167 วรรคสอง กำหนดว่าหากรายจ่ายใดไม่สามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐได้โดยตรง ให้จัดไว้ในงบกลาง โดยต้องแสดงเหตุผล ความจำเป็นในการกำหนดงบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นด้วย ซึ่งการจัดทำงบกลางนั้น จะใช้สำหรับการเบิกจ่ายในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่กรณีขึ้นเงินเดือน ส.ส.และ ส.ว. ซึ่งครม.นำเงินจากงบกลางมาใช้จ่ายนั้นมิใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใด มติครม.ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้ส.ส.และส.ว.มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของประเทศชาติและประชาชน แต่ที่ผ่านมามี ส.ส.บางคนยังทำหน้าที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญหลายประการ ไม่สามารถเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนได้ มีการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนมีการแสดงออกในทางการเมืองอย่างไม่เหมาะสมให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ดังนั้น การที่ครม.มีมติเห็นชอบให้ขึ้นเงินเดือน ส.ส.และ ส.ว.จึงไม่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษี ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของชาติ
หากผู้แทนปวงชนชาวไทย ยังคงประพฤติตัวทำงานอยู่ในผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างเช่นปัจจุบันนี้แทนที่จะเป็นประเทศชาติ แน่นอนว่าการพัฒนาก็คงไม่เกิด อีกทั้งเงินภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ที่ประชาชนเสียไปเพื่อเป็นเงินเดือนให้กับข้าราชการการเมืองก็ย่อมไร้ค่า นอกเป็นเวทีแสวงหาอำนาจบนความทุกข์ของคนไทยทั้งประเทศ


