posttoday

คนกับคุก

27 กุมภาพันธ์ 2554

กรมราชทัณฑ์อาจจะต้องทำเวทีสำหรับปราศรัยไว้ในเรือนจำที่ไหนสักแห่ง เผื่อเอาไว้ต้อนรับบรรดาแกนนำที่โดนคดีหนักๆ...

กรมราชทัณฑ์อาจจะต้องทำเวทีสำหรับปราศรัยไว้ในเรือนจำที่ไหนสักแห่ง เผื่อเอาไว้ต้อนรับบรรดาแกนนำที่โดนคดีหนักๆ...

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

บอกไปหลายๆ ท่านอาจจะไม่เชื่อว่าผู้เขียนเคยเข้าคุกมาแล้วเกือบ 20 ครั้ง โดยเฉพาะคุกบางขวางนั้นเคยเข้าออกเป็นประจำทุกปี เพราะตลอดระยะเวลาที่ทำงานในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชกว่า 20 ปีมานี้ ต้องไปปฏิบัติราชการที่นั่นอยู่เป็นประจำ

ซึ่งก็คือการไปประสานงานบริการการศึกษาให้แก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ไม่สามารถจะออกมาเรียนและสอบในศูนย์ของมหาวิทยาลัยตามโรงเรียนมัธยมต่างๆ นั้นได้ อย่างที่บางขวางอันเป็นคุกมหันตโทษ ก็จะมีนักศึกษานับร้อยคนทั้งไทยและต่างประเทศ

หลายคนเรียนจบคนละหลายปริญญา เพราะโทษอย่างต่ำของผู้ต้องขังที่นี่คือ 30 ปี จึงมีเวลาเรียนนานมาก ส่วนใหญ่จะถูกจำคุกตลอดชีวิต และอีกจำนวนมากที่รอการประหารชีวิต อันเป็นผลมาจากการกระทำชั่วอย่างร้ายแรง จำพวกค้ายาเสพติดและฆาตกรรม

ที่คุกบางขวางนี้ผู้เขียนเคยได้พบกับผู้ต้องขังดังๆ หลายคน เช่น หมอที่จ้างให้คนไปฆ่าเมียตัวเองต่อหน้าลูกอายุ 2 ขวบ นักศึกษาแพทย์ที่ชำแหละแฟนนักศึกษาด้วยกันแล้วเอาชิ้นส่วนไปทิ้งในที่ต่างๆ หน้าห้องรัฐมนตรีที่เป็นเอเยนต์ผงขาว และตำรวจที่ทำวิสามัญผู้ต้องหา ที่แต่ละคนนั้นไม่มีวี่แววของความเหี้ยมโหดอย่างที่เคยได้อ่านในข่าวหรือดูจากโทรทัศน์เลย

คนกับคุก

ในคุกบางขวางนี้ บรรยากาศค่อนข้างจะหดหู่และน่ากลัวมาก ท่านผู้บริหารเรือนจำเคยพาไปดูบริเวณที่สำหรับใช้ประหารชีวิต ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีการยิงเป้ามาสิบกว่าปีแล้ว แต่เมื่อไปยืนอยู่ในศาลาเล็กๆ หลังนั้น ก็เหมือนหูจะได้ยินเสียงปืนดังออกมาเป็นชุดพร้อมกลิ่นควันปืน และสายตาเหมือนจะมองเห็นกลุ่มกระสุนเจาะไปที่เป้าผ้าที่ขึงบังร่างนักโทษผู้กอดเสาเอาแผ่นหลังรับลูกปืนมีเลือดไหลนองลงมาบนพื้นซีเมนต์กระดำกระด่าง แล้วก็มีเสียงร่างกระตุกที่หยุดลงพร้อมกับลมหายใจในเฮือกสุดท้ายท่ามกลางกลิ่นเหม็นคาวเลือดจนแทบจะกลั้นอาเจียนไม่ได้!

อีกคุกหนึ่งที่ผู้เขียนเคยได้เข้าไปแค่ 2 ครั้ง คือ เรือนจำลาดยาว ที่เรียกอย่างหรูหราอีกชื่อหนึ่งว่า “เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ” อันเป็นที่กักขัง “นักโทษวีไอพี” อย่างเช่น นายตำรวจที่สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอุ้มแม่ลูกในคดีเพชรซาอุไปฆ่าอำพราง หรืออดีตเจ้าแม่แชร์ที่โกงคนทั้งประเทศหลายพันล้าน และอดีตกรรมการการเลือกตั้งชุดที่เปิดคูหาให้เห็นคนกำลังกาคะแนนในบัตร รวมทั้งแกนนำกลุ่ม

แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือคนเสื้อแดง ที่ขณะนี้ได้รับการประกันตัวชั่วคราว ก็เคยมาพำนักอยู่ที่นี่
ที่ผู้เขียนชอบไปปฏิบัติราชการให้บริการการศึกษาแก่นักศึกษาในคุกเหล่านี้ ประการแรกสุดก็เป็นเพราะว่า “อยากเข้าคุก” เนื่องจากเคยได้ยินคนโบราณบอกว่า ถ้าเคยเข้าคุกแล้วจะไม่ต้องกลับมาเข้าคุกอีก (ที่ไม่น่าจะจริงเพราะถ้ามันชั่วซ้ำซากมันก็ต้องติดคุกซ้ำซากอยู่นั่นแหละ) แต่การเข้าคุกเอาเคล็ดแบบนี้ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกธรรมเนียม (คนคุก)

เริ่มต้นต้องกลั้นหายใจก่อนที่จะข้ามธรณี (ประตูคุก) ระหว่างทางอย่าหันซ้ายหันขวามองไปที่สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น (เหมือนกลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่สวยงามแล้วจะไม่กล้าเดินเข้าไปในคุก อ้อ...แล้วอย่าลืมเลิกกลั้นหายใจ เดี๋ยวจะขาดใจตายไม่ได้เข้าคุกอย่างที่ตั้งใจ) จนกว่าจะถึง “ที่พัก” เช่นเดียวกันในตอนเวลาออกมาก็ต้องกลั้นหายใจอีกครั้ง แล้วอย่ามองกลับไปด้านหลัง และอย่าให้สะดุดประตูคุกด้วยอวัยวะใดๆ ทั้งสิ้น (แต่กระนั้นผู้เขียนก็ต้องเข้าออกคุกไปทำงานให้มหาวิทยาลัยอีกเป็นสิบๆ ครั้ง อย่างที่กล่าวมาในตอนต้น)

ประการต่อมา “อยากเป็นขุนแผน” เพราะเป็นคนชอบวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมากๆ รวมทั้งชอบบทเสภาหลายๆ บทที่กระทรวงศึกษาธิการเอามาให้นักเรียนท่องเป็นอาขยาน เช่น เมื่อเป็นนักเรียนชั้นประถมก็มีตอนศึกเชียงใหม่ที่พลายงามลูกของขุนแผนออกรบกับแสนตรีเพชรกล้า จะมีบทเสภาขึ้นต้นว่า “ครานั้นเพชรกล้าได้ฟังถาม ก็ชื่นชอบตอบความหาช้าไม่” หรือพอเรียนมัธยมก็มีตอนนางวันทองตามหาลูกคือพลายงามที่ถูกขุนช้างลวงไปฆ่าทิ้ง ก็จะมีบทเสภาตอนหนึ่งที่กินใจมาก กล่าวว่า

“นางวันทองร้องไห้ใจจะขาด โอ้ชาตินี้มีกรรมจะทำไฉน แล้วเล่าความตามจริงทุกสิ่งไป เจ้ามิใช่ลูกเต้าเขาจึงชัง”

เรื่องขุนช้างขุนแผนนี้ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเอามา “รีวิว” หรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างได้อรรถรสอยู่หลายวันในคอลัมน์ซอยสวนพลูจนสามารถรวมตีพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊กขนาดอวบๆ ได้เล่มหนึ่ง ขึ้นปกว่า “ขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่” ที่แฟนานุแฟนฮือฮาว่าเจาะแก่นได้อย่าง “ถึงอกถึงใจ” เพราะไม่ละเว้นแม้แต่บทอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสาระหลักอย่างหนึ่งของวรรณกรรมอันอมตะเรื่องนี้

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อ้างอิงว่าเสภาเป็นการขับร้อง “แก้เซ็ง” ของคนคุก ที่ของจริงในเวลาเล่นจะใช้กรับและฉิ่งคุมจังหวะคลอการขับร้อง แต่ในคุกนั้นคงจะใช้โซ่และเกราะไม้ อนึ่ง ขุนแผนก็ติดคุกอยู่กว่า 15 ปี และในตอนศึกเชียงใหม่ที่พลายงามอาสามาขออภัยโทษให้แก่ขุนแผนผู้เป็นบิดา เพื่อให้นำทัพไปรบเชียงใหม่นั้น ก็มีกองอาสาจากคนคุกไปร่วมรบด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ได้สร้างวีรกรรมโดยใช้วิทยายุทธ์ต่างๆ ที่ฝึกฝนกันมาจากในคุกนั้นเอาชนะการศึกจนได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่อยากเข้าคุกก็เพราะเคยได้ยินว่า “คนดังๆ” หลายคนได้สร้าง|ผลงานที่มีชื่อเสียงในคุก อย่างเช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ สอ เสถบุตร อุทธรณ์ พลกุล อัศนี พลจันทร (นายผี) และคนอื่นๆ ก็เลยอยากรู้ว่าบรรยากาศในคุกช่วยสร้างสรรค์ผลงานเหล่านั้นได้จริงๆ หรือ

เท่าที่คุยกับลูกศิษย์ในเรือนจำเหล่านี้ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน (คือตอบเหมือนๆ กัน) ว่า ก็มีเวลาในแต่ละวันมากกว่าปกติ ซึ่งถ้าหากไม่มีอะไรทำก็จะว้าเหว่และเหงาหงอยเป็นอย่างยิ่ง อย่างที่จิตแพทย์เรียกว่า “ภาวะซึมเศร้า” ทางเรือนจำจึงพยายามหากิจกรรมต่างๆ ให้ทำ ทั้งการฝึกอาชีพ การออกกำลังกาย และการเรียนหนังสือ จึงทำให้มี “ความสุข” ขึ้นมาได้บ้าง

ผู้เขียนเคยไปประสานงานสอบที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มธัญบุรี ซึ่งที่นั่นจะมีแต่ผู้ต้องขังชายวัยหนุ่มอย่างชื่อ จึงสร้างเวทีและค่ายมวยให้ซ้อมกันอย่างมืออาชีพ ทราบจากผู้บริหารเรือนจำบอกว่าช่วยแก้ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกัน (อันเป็นวิสัยของคนวัยนี้) ได้มาก

บางทีกรมราชทัณฑ์อาจจะต้องทำเวทีสำหรับปราศรัยไว้ในเรือนจำที่ไหนสักแห่ง เผื่อเอาไว้ต้อนรับบรรดาแกนนำที่โดนคดีหนักๆ ถ้าจะเป็นที่เรือนจำบางขวางก็น่าจะเหมาะ เพราะคนเหล่านี้หลายๆ คนอาจจะต้องย้ายไปบางขวางเพื่อใช้เวลาตลอดชีวิตที่เหลือที่นั่น

ถ้าจะเรียน มสธ. “แก้เซ็ง” เอาปริญญาอีก 4-5 ใบ ก็ดีนะท่าน

ข่าวล่าสุด

KBANK ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เงินฝาก 0.05-0.10%