"ปณิธาน"ชี้ เจรจาหยุดยิงไทย–กัมพูชายังติดหล่ม เกมทูตซ้อนสนามรบ
รศ.ดร.ปณิธาน วิเคราะห์สัญญาณทูตไม่สอดคล้องหน้างาน การสู้รบยังเกิด เงื่อนไขทหาร–การเมืองซับซ้อน ไทยต้องเร่งปรับเกมสื่อสารและบทบาทเวทีโลก ก่อนเสียแต้มความชอบธรรม
KEY
POINTS
- การเจรจาหยุดยิงไทย-กัมพูชาชะงักงัน เนื่องจากกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์หลายสนาม ทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนควบคู่ไปกับการสร้างความได้เปรียบในเวทีการทูตระหว่างประเทศ
- แม้ไทยจะมีความได้เปรียบทางทหาร แต่กลับเสียเปรียบในสงครามการสื่อสารและการรับรู้ในสายตานานาชาติ ซึ่งกัมพูชาสามารถใช้ประเด็นอ่อนไหวสร้างความชอบธรรมได้ดีกว่า
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าไทยจำเป็นต้องยกระดับบทบาทในเวทีโลกและปรับยุทธศาสตร์การสื่อสารอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาชายแดนและลดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
เมื่อวันที่ 26ธ.ค.2568 รองศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเมินสถานการณ์การเจรจาหยุดยิงตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาว่า แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกทางการทูตจากฝั่งกัมพูชาในบางช่วง แต่ในทางปฏิบัติกลับยังคงเกิดการปะทะ การวางกำลัง และการกระทำหลายประการที่บั่นทอนความเชื่อมั่น ส่งผลให้กระบวนการเจรจาไม่เพียงชะงักงัน หากยังทวีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในมิติความมั่นคง การทหาร และการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ
กลยุทธ์ “หลายสนาม หลายเวที” ของกัมพูชา
ดร.ปณิธานชี้ว่า กัมพูชาดำเนินยุทธศาสตร์แบบ “หลายสนาม” ควบคู่กัน ทั้งในพื้นที่ชายแดนและในเวทีการทูตระหว่างประเทศ แม้ไทยจะยังได้เปรียบทางการทหารในพื้นที่ปฏิบัติการ แต่กัมพูชากลับเริ่มสร้างแต้มต่อในเวทีนานาชาติอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการสื่อสารเชิงกฎหมายและการเมือง
ในการเจรจาภายใต้กรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) กัมพูชาถูกมองว่าใช้กลยุทธ์ซื้อเวลา พร้อมเพิ่มข้อเรียกร้องจากเดิม 3 ข้อเป็น 5 ข้อ ครอบคลุมตั้งแต่การอ้างโบราณสถานเป็นที่ตั้งกำลัง การระบุพิกัดกำลังทหาร การกล่าวหาเรื่องใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ไปจนถึงการผลักดันให้มีการย้ายชุมชนกลับพื้นที่เดิม ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนท่าทีที่อาจไม่ได้มุ่งสู่การหยุดยิงอย่างจริงใจ หากแต่เป็นการสร้างเงื่อนไขต่อรองในระยะยาว
โจทย์ยากของไทยในเวทีโลก
สำหรับประเทศไทย ดร.ปณิธานเห็นว่า จำเป็นต้องยกระดับบทบาทในเวทีระหว่างประเทศอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติ หรือการประสานกับประเทศมหาอำนาจและประเทศสำคัญในภูมิภาค เช่น จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพื่อสร้างความเข้าใจต่อบริบทความมั่นคงที่แท้จริงของไทย
ขณะเดียวกัน ไทยต้องเร่งทำให้พื้นที่ชายแดนปลอดภัยโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับภูมิลำเนาได้ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะหากความไม่ปลอดภัยยืดเยื้อ ย่อมกระทบทั้งด้านมนุษยธรรมและเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
อย่างไรก็ดี ดร.ปณิธานเตือนว่า การผูกประเด็นความปลอดภัยทางทหาร เช่น อาวุธหนัก ทุ่นระเบิด หรือการวางกำลัง เข้ากับข้อพิพาทด้านดินแดนหรือเส้นเขตแดน อาจทำให้ไทยเสียเปรียบในสายตานานาชาติ โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชาอ้างอิงคำพิพากษาของศาลโลก และอาจทำให้ต่างชาติมองว่าการเข้าควบคุมพื้นที่ของไทยเป็นการ “รุกคืบ” มากกว่าการป้องกันตนเอง
สงครามการสื่อสารและการรับรู้
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือเรื่องการสื่อสาร ดร.ปณิธานมองว่า การสื่อสารภายในประเทศของไทยที่เน้นความได้เปรียบทางทหารและการไม่ยอมถอย อาจสร้างความพึงพอใจในหมู่ประชาชนไทย แต่กลับไม่ตอบโจทย์การรับรู้ของนานาชาติ
ในทางตรงกันข้าม กัมพูชาปรับการสื่อสารได้อย่างยืดหยุ่นและตรงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งต่อประชาชนภายในประเทศ เพื่อนบ้าน และมหาอำนาจ โดยหยิบยกประเด็นละเอียดอ่อน เช่น โบราณสถานหรือเทวสถานทางศาสนา มาใช้สร้างความชอบธรรมในเวทีโลก
ดร.ปณิธานเสนอว่า ไทยจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์การสื่อสารให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายอย่างน้อย 5 กลุ่ม และอาจต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและการสื่อสารระหว่างประเทศเข้ามาให้คำปรึกษาแก่ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ เพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่ถูกตีความผิดในระดับสากล
คำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ระบุว่า “ไทยแทบไม่มีเพื่อน” จึงไม่ใช่เพียงถ้อยคำสะท้อนอารมณ์ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงโจทย์ใหญ่ด้านการต่างประเทศที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ
นัยทางการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในมิติการเมืองภายใน ดร.ปณิธานเตือนว่า หากประชาชนตามแนวชายแดนไม่สามารถกลับบ้านได้ตามปกติในช่วงปีใหม่ อาจส่งแรงกระเพื่อมทางการเมืองต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ทุกพรรคการเมืองได้ร่วมถกเถียงและนำเสนอแนวทางด้านความมั่นคงและการต่างประเทศอย่างเท่าเทียม
เขาประเมินว่า ประเด็นความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านและบทบาทของไทยในเวทีโลก จะกลายเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการเมืองเลือกตั้งครั้งต่อไป และจะเป็นเวทีที่ทุกพรรคต้องแสดงจุดยืน นโยบาย และความโปร่งใสต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนมากขึ้น


