อนุทินท้าสู้เกมการเมือง ฝ่ายค้านเปิดซักฟอกล้างแค้นพร้อมยุบสภา

กระแสการเมืองปลายปีเริ่มคุกรุ่น เมื่อสองพรรคใหญ่ “เพื่อไทย–ประชาชน” เดินหมากต่างจังหวะต่อการยื่น ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อยที่กำลังจะเดินเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของอำนาจ ก่อนเส้นตาย “MOA 4 เดือน”

เพื่อไทยแตกเสียง ยื่นหรือรอ

ภายในพรรคเพื่อไทยเริ่มมีรอยร้าวทางยุทธศาสตร์ ฝ่ายหนึ่ง นำโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองหัวหน้าพรรค เห็นควรยื่นอภิปรายในสมัยประชุมหน้า เพื่อชี้ให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทั้งในประเด็นทุนเทา-ทุนดำ สแกมเมอร์ และความมั่นคงชายแดน ซึ่ง นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ระบุว่า “นี่อาจเป็นจุดตายของรัฐบาล”

อีกฝ่ายกลับมองว่า ควร “ปล่อยให้ไทม์ไลน์ MOA พิสูจน์ตัวเอง” เพื่อให้ประชาชนเห็นชัดว่า ดีลค้ำรัฐบาลไม่ได้นำผลดีใดต่อประเทศ และรอจังหวะยุบสภาช่วงต้นปี 2569 ซึ่งพรรคเพื่อไทยเตรียมความพร้อมลงสนามเลือกตั้งเต็มที่แล้ว

ประชาชนวางจุดยืน “ไม่เล่นเกมส่วนตัว”

ขณะเดียวกัน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ประกาศจุดยืนชัด พรรคไม่ใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือเวทีระบายความแค้นส่วนตัว “ถ้าไม่มีเนื้อหาฉกรรจ์ ไม่ยื่นเพื่อเล่นงานรัฐบาล แต่จะยื่นเมื่อมีหลักฐานชัดว่าส่งผลกระทบต่อประชาชนจริง”

ท่าทีนี้สะท้อนภาพพรรคสีส้มที่ต้องการรักษามาตรฐานการเมืองเชิงนโยบาย มากกว่าการโต้ตอบทางอารมณ์ ในช่วงที่คะแนนนิยมพรรคกำลังแข็งแรงจากแคมเปญต้านธุรกิจสีเทาและทุนต่างชาติ

 อนุทินลั่นไม่ยอมถูก “ด่าฟรี”

ในอีกฟากหนึ่งของทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ตอบโต้ด้วยน้ำเสียงแข็ง “ถ้าอภิปรายเพื่อล้างแค้น หรือเอาคืนทางการเมือง ก็ยุบสภาไปเลย ห่างกันแค่เดือนเดียวจะต่างอะไร” พร้อมยืนยันว่า ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ “ตั้งใจเต็มที่ ทำเพื่อบ้านเมือง โดยไม่มีระบบโควตา ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว”

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำถึงเป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลคือ “เปลี่ยนบริบทประเทศไทย สร้างมาตรฐานใหม่ในการบริหารราชการแผ่นดิน” ด้วยทีมรัฐมนตรีมืออาชีพที่เสียสละทั้งรายได้และอนาคต

 ฉากต่อไปของศึกสภา

เมื่อเกมอภิปรายเริ่มเป็นทั้งบททดสอบศักยภาพฝ่ายค้าน และบทวัดใจของรัฐบาลเสียงข้างน้อย คำถามใหญ่จึงอยู่ที่ว่า ฝ่ายค้านจะเลือกอภิปรายเพื่อ “ล้มรัฐบาล” หรือ “ล้างภาพตัวเอง”

ส่วนอนุทินเองก็ดูจะพร้อมทุกทาง ทั้งสู้ศึกในสภา หรือยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน หากเห็นว่าเกมการเมืองเริ่มหลุดจากเป้าหมายที่แท้จริงของการบริหารประเทศ.