พิพัฒน์ เร่งอัดฉีดงบลงพื้นที่ใต้ ดันนิพนธ์ คุมเลือกตั้งสงขลา

พิพัฒน์–นิพนธ์ สะเทือนใต้: การเมือง–การพัฒนาแนบแน่น

บรรยากาศการเมืองจังหวัดสงขลา ร้อนแรงเป็นพิเศษ เมื่อ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจราชการ แต่สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดกลับไม่ใช่เพียงนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน หากคือภาพของสายสัมพันธ์ทางการเมืองที่แนบแน่นกับ “ทีมบ้านใหญ่บุญญามณี” จากพรรคประชาธิปัตย์

ภายในวัดเขาเก้าแสน จุดศึกษาการพัฒนาเชื่อมต่อโครงการ “ริเวล่าไทยแลนด์” นายพิพัฒน์ได้รับการต้อนรับจาก นายนิพนธ์ บุญญามณี ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายสรรเพชญ บุญญามณี และ นายสมยศ พลายด้วย ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ บรรยากาศอบอุ่นจนถูกมองเป็น “สัญญาณการเมืองใหม่” ที่เชื่อมสองพรรคใหญ่เข้าด้วยกันผ่านผลประโยชน์การพัฒนาในภาคใต้

“วิดน้ำเข้าเรือนตัวเอง”: ประกาศชัดพัฒนาใต้ก่อนใคร

นายพิพัฒน์กล่าวบนเวทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ในเมื่อผมเป็นคนใต้ น้ำมาก็ต้องวิดเข้าเรือนตัวเองก่อน” คำพูดนี้ถูกตีความทั้งในเชิงอารมณ์รักบ้านเกิด และเชิงการเมืองที่ชัดเจนว่าเขากำลังมุ่งอัดฉีดงบประมาณสู่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นฐานการเมืองสำคัญของทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย
รมว.คมนาคมระบุถึงโครงการเร่งด่วน เช่น การขยายถนนสี่เลนทั่วภาคใต้ การปรับปรุงถนนระหว่างอำเภอที่ค้างคา และการเร่งรัด “รถไฟรางคู่หาดใหญ่–ปาดังเบซาร์” ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เชื่อมโลจิสติกส์ไทย–มาเลเซีย เพื่อผลักดันให้สงขลากลายเป็น “ประตูเศรษฐกิจภาคใต้”
 

นิพนธ์เจ้าจังหวัด: ขั้วอำนาจใหม่ใต้ปีกภูมิใจไทย

จุดพีกของเวทีคือช่วงที่ นายพิพัฒน์ ประกาศต่อหน้าผู้ร่วมงานว่า “การเลือกตั้งครั้งหน้า จะยกให้นายนิพนธ์เป็นเจ้าจังหวัด ดูแลสงขลาในนามพรรคภูมิใจไทย” คำพูดนี้สะเทือนทั้งพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เพราะสะท้อน “ดีลการเมืองใต้พรม” ที่เริ่มเป็นรูปธรรม

หลังจบภารกิจ นายพิพัฒน์และคณะร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่บ้าน นายนิพนธ์ บุญญามณี ท่ามกลางว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภูมิใจไทยสงขลา และผู้นำท้องถิ่นร่วมวงอย่างอบอุ่น ก่อนที่นิพนธ์จะกล่าวสั้น ๆ เมื่อถูกถามถึงอนาคตทางการเมืองว่า “ชัดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”

สงขลา–สมรภูมิใหม่ของการเมืองภาคใต้

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการลงพื้นที่ราชการ แต่คือ “การเปิดเกมภาคใต้” ของพรรคภูมิใจไทยอย่างเป็นทางการ การยกนิพนธ์ขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่ เท่ากับการดึงเครือข่ายประชาธิปัตย์เข้าสู่ขั้วใหม่ที่ทรงพลัง และอาจเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองภาคใต้ในศึกเลือกตั้ง 2569 อย่างสิ้นเชิง.