เพื่อไทยปรับโครงสร้าง ประชาชนขยับ รัฐบาลอนุทินเจอแรงเสียดทาน
หลัง “เพื่อไทย” รีเซ็ตพรรค ตั้ง “จุลพันธ์” คุมทัพสู้ศึกเลือกตั้ง 2569 ขณะ “พรรคประชาชน” เปิดเกม “มีเราไม่มีเทา” รัฐบาล “อนุทิน” เจอแรงกดดันปลด “ธรรมนัส” สะเทือนเสถียรภาพ
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ แต่งตั้งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและลดบทบาทโดยตรงของตระกูลชินวัตร
- พรรคประชาชนเปิดเกมรุกด้วยยุทธศาสตร์ "มีเราไม่มีเทา" เพื่อฟื้นกระแสความนิยม โดยมุ่งโจมตีกลุ่มนักการเมืองที่เชื่อมโยงกับธุรกิจผิดกฎหมาย
- รัฐบาลอนุทินเผชิญแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก โดยมี ร.อ. ธรรมนัส เป็นเป้าโจมตีหลัก ซึ่งอาจนำไปสู่การยุบสภาเพื่อชิงความได้เปรียบ
ยกเครื่องเพื่อไทย “จุลพันธ์” จุดเริ่มต้นรีเซ็ตพรรค
พรรคเพื่อไทยเปิดฉากปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ภายหลังการลาออกของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรค เพื่อคลี่คลายปัญหาทางจริยธรรมและหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีทางกฎหมายในอนาคต โดยเฉพาะประเด็นการเซ็นรับรองผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางคุณสมบัติ พรรคจึงใช้โอกาสนี้ “รีเซ็ตระบบบริหารภายใน” และฟื้นความเชื่อมั่นจากฐานเสียงที่สั่นคลอนหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการ “ถอยฉากเชิงสัญลักษณ์” ของตระกูลชินวัตรออกจากการบริหารตรง แม้ยังคงมีอิทธิพลในทางปฏิบัติ การแต่งตั้งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่สะท้อนแนวทาง “สายกลาง” ที่พรรคต้องการสื่อถึงสังคม เขาเป็นบุตรของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรคที่ได้รับความไว้วางใจจากคุณทักษิณในอดีต และมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับเครือข่ายเดิมของพรรค
หนึ่งในภารกิจหลักของนายจุลพันธ์คือการ “รวบรวมกองกำลังเก่า–ใหม่” ให้กลับมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน การดึงอดีตแกนนำอย่างนายวราเทพ รัตนากร กลับมาร่วมงาน พร้อมพาอดีต ส.ส. จากพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วม ถือเป็นสัญญาณแรกของความพยายามหยุด “ภาวะเลือดไหล” ของพรรค ขณะเดียวกันยังต้องปรับกลยุทธ์สู้ศึกเลือกตั้งโดยเน้นฟื้น “กระแสพรรค” ผ่านภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพและเน้นผลงานเชิงนโยบายมากกว่าชื่อบุคคล
ยุทธศาสตร์ใหม่พรรคประชาชน“มีเราไม่มีเทา”
ในอีกฟากหนึ่ง พรรคประชาชน (หรืออดีตพรรคก้าวไกล) เปิดเกมรุกทางการเมืองภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ “มีเราไม่มีเทา” เพื่อฟื้นความนิยมหลังจากกระแสตกลงอย่างต่อเนื่องนับแต่ช่วงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคใช้กลยุทธ์สื่อสารเชิงอารมณ์ ปลุกความไม่พอใจต่อ “นักการเมืองสีเทา” โดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายและขบวนการสแกมเมอร์
แนวทางดังกล่าวต่อยอดจากยุทธศาสตร์ “มีเราไม่มีลุง” ที่เคยใช้ได้ผลในการเลือกตั้ง 2566 แต่ปรับจุดโจมตีจากตัวบุคคลระดับผู้นำทหาร มาเป็นกลุ่มการเมืองที่ถูกมองว่า “ไม่โปร่งใส” เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ความสะอาดและยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค การขับเคลื่อนเชิงสื่อสารดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นฐานเสียงคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเฉื่อยหลังผ่านรอบการเมืองหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การเมืองแบบ “อิงกระแส” ยังเป็นทั้งจุดแข็งและจุดเสี่ยงของพรรคประชาชน เพราะแม้พรรคจะมีศักยภาพสูงด้านการสื่อสาร แต่ยังขาดเครือข่ายพื้นที่และโครงสร้างบริหารทรัพยากรในระดับเขต การขับเคลื่อนแบบมวลชนอาจไม่เพียงพอในการแปลงคะแนนนิยมเป็นที่นั่งในสภา โดยเฉพาะเมื่อสนามเลือกตั้งปี 2569 ถูกคาดว่าจะมีการแข่งขันรุนแรงระหว่างพรรคประชาชนกับเพื่อไทยในหลายจังหวัดภาคเหนือ
รัฐบาลอนุทิน–ธรรมนัสกับแรงเสียดทาน
ขณะที่ฝั่งรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” ต้องเผชิญโจทย์ใหญ่ในการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภายใต้แรงกดดันจากฝ่ายค้านที่ใช้ประเด็น “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” เป็นเครื่องมือโจมตี ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะรัฐมนตรีและแกนนำ พรรคกล้าธรรม ถูกพรรคประชาชน โดยเฉพาะนายรังสิมันต์ โรม ตั้งคำถามเรื่องความเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทา จนกลายเป็น “รัฐมนตรีสายล่อฟ้า”
พรรคกล้าธรรม ในฐานะพันธมิตรของรัฐบาลเลือกใช้กลยุทธ์นิ่ง ไม่ตอบโต้ทางสื่อ และเน้นขยายฐานในเครือข่ายบ้านใหญ่และพื้นที่มั่น โดยประเมินว่าการต่อสู้ของตนไม่อยู่ในสมรภูมิกระแสออนไลน์ แต่คือสนามจริงในระดับเขต ขณะที่ฝ่ายนายกรัฐมนตรีต้องรักษาสมดุลระหว่างแรงกดดันทางการเมืองและความร่วมมือในรัฐบาล
แรงเสียดทานที่เพิ่มขึ้นทำให้มีการประเมินในหมู่นักการเมืองและนักวิเคราะห์ว่า นายอนุทินอาจต้อง “ใช้ไพ่ยุบสภา” หากสถานการณ์บานปลายและเสียงสนับสนุนในสภาเริ่มสั่นคลอน การยุบสภาก่อนครบวาระจึงอาจกลายเป็นกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง ตัดวงจรการซักฟอกรัฐบาล และรีเซ็ตสนามก่อนถูกบั่นทอนจากแรงกดดันสาธารณะ ทั้งนี้ รัฐบาลยังต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากประเด็นอ่อนไหวด้านนโยบาย เช่น MOU ไทย–กัมพูชา และข้อตกลงแร่หายากกับสหรัฐฯ ซึ่งล้วนเป็นชนวนที่อาจถูกขยายผลในอนาคต
การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วง “จัดระเบียบใหม่” ทั้งในระดับพรรคและรัฐบาล พรรคเพื่อไทยพยายามฟื้นเอกภาพและภาพลักษณ์
ขณะที่พรรคประชาชนเร่งสร้างอัตลักษณ์ใหม่ผ่านการเมืองเชิงอารมณ์
ส่วนรัฐบาลอนุทินต้องเดินบนเส้นบางระหว่างการรักษาอำนาจและการจัดการความเปราะบางภายใน สมรภูมิเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ใช่เพียงการแข่งขันของนโยบาย แต่คือการวัด “เสถียรภาพ–ศรัทธา–กระแส” ของทุกฝ่ายในห้วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไทย.


