เพื่อไทยหักมุมหนุนร่างประชาชน เปิดฉาก กมธ.43 คน เขียนรัฐธรรมนูญ
การตัดสินใจของเพื่อไทยหนุนร่างประชาชน พลิกขั้วการเมือง เปิดศึก กมธ.43 คน สนามใหม่ที่เดิมพันคือ “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” จะเกิดจริงหรือฝันสลาย
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยมีมติสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ทำให้ร่างดังกล่าวชนะร่างของพรรคร่วมรัฐบาลและได้เป็นร่างหลักในการพิจารณา
- การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยมีเหตุผลเพื่อรักษาหลักการให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง และเพื่อคงบทบาทสำคัญในชั้นกรรมาธิการ
- มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) จำนวน 43 คน เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวาระต่อไป โดยพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนมีสัดส่วนกรรมาธิการเท่ากัน
พลิกเกมในสภา — เมื่อพันธมิตรใหม่ถือกำเนิด
เสียงลงมติในรัฐสภาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 คือภาพสะท้อนชัดเจนของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ลึกกว่าที่เห็นภายนอก ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคประชาชน ได้รับคะแนนเห็นชอบ 300 ต่อ 287 เสียง เหนือร่างของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่ในเชิงโครงสร้าง พรรคภูมิใจไทยควรมีแรงสนับสนุนจากฝ่ายรัฐบาลมากกว่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม
พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล กลับเลือกที่จะ “หักมุม” โหวตสนับสนุนร่างของพรรคประชาชนอย่างเป็นเอกภาพ จุดเปลี่ยนนี้ไม่ใช่เพียงการเลือก “ร่างหลัก” หากแต่คือการประกาศแนวร่วมทางอุดมการณ์ชั่วคราว ที่ทำให้ร่างของฝ่ายค้านกลายเป็นร่างหลักอย่างเหนือความคาดหมาย
ท่าทีของพรรคเพื่อไทยสะท้อนการคำนวณเชิงกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ภายหลังร่างของตนเองถูกตีตก พรรคกลับไม่ยอมให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหยุดชะงัก แต่เลือกจะ “ต่ออายุ” กระบวนการนี้ผ่านร่างของพรรคประชาชน ด้วยเหตุผลสำคัญคือ การรักษาหลักการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง
คำแถลงของพรรคเพื่อไทยในวันเดียวกันจึงมีน้ำหนักทางการเมืองสูง “ร่างฉบับเพื่อไทยถูกตีตก แต่เจตนารมณ์แก้รัฐธรรมนูญต้องไปต่อ พร้อมโหวตร่างพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก เพื่อรักษาหลักการ สสร. ยึดโยงกับประชาชน” ประโยคนี้ไม่เพียงเป็นคำอธิบาย แต่คือการส่งสัญญาณชัดว่า พรรคพร้อมจะวางผลประโยชน์ทางพรรคไว้ เพื่อรักษา “เป้าหมายทางหลักการ”
เบื้องหลังยุทธศาสตร์ — รักษาหลักการหรือปูทางใหม่ทางอำนาจ
ในเชิงลึก การหนุนร่างของพรรคประชาชนคือการเดินหมากสองชั้นของเพื่อไทย — ด้านหนึ่งคือการแสดงจุดยืนประชาธิปไตยที่ยึดโยงกับประชาชน อีกด้านหนึ่งคือการดึงพื้นที่ต่อรองกลับคืนมาในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
แม้พรรคเพื่อไทยจะเสียตำแหน่ง “เจ้าของร่าง” แต่กลับได้ “เวทีใหญ่” ในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งเปิดให้พรรคมีตัวแทนถึง 9 คน อยู่ในคณะกรรมาธิการ 43 คน เท่ากับพรรคประชาชนผู้เป็นเจ้าของร่าง นั่นหมายถึงเพื่อไทยจะยังคงมีบทบาทนำในการกำหนดรายละเอียดสำคัญของรัฐธรรมนูญ แม้ไม่ได้เป็นผู้เสนอร่างตั้งต้น
อีกทั้งยังเป็นการกันพื้นที่อำนาจไม่ให้พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นศูนย์กลางของกระบวนการนี้ — เพราะหากร่างของนายอนุทินได้รับเลือกเป็นร่างหลัก อำนาจต่อรองในชั้น กมธ. และวาระ 2–3 จะตกอยู่ในมือของฝ่ายที่มุ่งคงระบบเดิมมากกว่าเปิดทางให้สภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนเต็มรูปแบบ
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการ “อ่านเกมล่วงหน้า” ของเพื่อไทย ที่เห็นว่า การสร้างแนวร่วมกับพรรคประชาชน ซึ่งมีฐานเสียงคนรุ่นใหม่และกระแสสนับสนุนจากภาคประชาชน จะช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของพรรคในช่วงที่ถูกตั้งคำถามเรื่องอุดมการณ์และความสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจเดิม
อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาคือ รอยร้าวภายในรัฐบาลผสม ที่ชัดเจนขึ้นทันที พรรคภูมิใจไทยแสดงอาการไม่พอใจและถึงขั้นประท้วงกลางสภา หลังการนับคะแนนใหม่ยืนยันว่าร่างของตนพ่ายแพ้ เหตุการณ์นี้กลายเป็น “รอยร้าวเชิงสัญลักษณ์” ที่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลในระยะยาว หากไม่สามารถจัดสมดุลระหว่างพันธมิตรเก่าและแนวร่วมใหม่ได้อย่างแนบเนียน
กมธ.43 คน — เวทีชี้ชะตารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
คณะกรรมาธิการวิสามัญ 43 คน ที่ตั้งขึ้นหลังการโหวต ถูกขนานนามว่า “คณะกรรมาธิการชุดประวัติศาสตร์” เพราะเป็นสมรภูมิที่รวมทั้งนักการเมืองรุ่นเก่าและรุ่นใหม่จากหลากหลายขั้วความคิด
สัดส่วนองค์ประกอบโดยรวม:
ส.ว. 12 คน
ส.ส. 31 คน (พรรคประชาชน 9, เพื่อไทย 9, ภูมิใจไทย 4, พรรคร่วมอื่น ๆ รวม 9)
ภายในคณะนี้ “แนวรบหลัก” ถูกจับตาว่าจะเกิดขึ้นระหว่าง
ฝ่ายก้าวหน้า ที่นำโดยพรรคประชาชน ผลักดัน สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดและมีอำนาจเต็ม
ฝ่ายอนุรักษนิยม ที่มี ส.ว. และพรรคอนุรักษ์บางส่วน พยายามจำกัดขอบเขตการแก้ไข โดยเฉพาะหมวดที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของชาติ
การถกเถียงในชั้น กมธ. จึงไม่เพียงว่าด้วย “ถ้อยคำในร่างกฎหมาย” แต่คือการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ระหว่าง “ระบอบประชาธิปไตยแบบยึดโยงกับประชาชน” กับ “ระบอบที่ต้องมีตัวกรองจากชนชั้นนำ”
ชื่อของกรรมาธิการอย่าง นายพริษฐ์ วัชรสินธุ, นายจาตุรนต์ ฉายแสง, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สะท้อนถึงความหลากหลายเชิงอุดมการณ์ ที่จะทำให้การพิจารณาในวาระสองไม่อาจเดินหน้าได้อย่างราบรื่น แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นโอกาสในการสร้าง “ฉันทามติใหม่” หากทุกฝ่ายพร้อมเปิดพื้นที่รับฟัง


