posttoday

ร่างรธน.ฉบับภูมิใจไทย-ประชาชนผ่านวาระแรก แต่เสี่ยงคว่ำวาระต่อ

15 ตุลาคม 2568

“ดร.ณัฏฐ์” วิเคราะห์เกมแก้รัฐธรรมนูญ ร่างพรรคภูมิใจไทย–ประชาชนมีโอกาสผ่านวาระแรกสูง แต่หากเจรจาไม่ลงตัวในวาระ 2–3 เสี่ยงถูกคว่ำกลางสภา

KEY

POINTS

  • ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนได้รับความเห็นชอบผ่านวาระแรกในที่ประชุมรัฐสภา
  • ร่างฯ มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกคว่ำในวาระต่อไป เนื่องจากเสียงสนับสนุนจากฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว. มีไม่เพียงพอและต้องอาศัยเสียงจากพรรคฝ่ายค้าน
  • อนาคตของร่างรัฐธรรมนูญขึ้นอยู่กับการเจรจาในชั้นกรรมาธิการเพื่อรวมเนื้อหาของทั้งสองร่าง ซึ่งเป็นขั้นตอนชี้ขาดก่อนการลงมติในวาระที่ 2 และ 3

บริบทการเมือง: ร่างสามสีบนโต๊ะรัฐสภา

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 รัฐสภาเปิดประชุมพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากสามพรรคหลัก — พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย — แต่การประชุมเต็มไปด้วยความเห็นต่าง ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต่างอภิปรายถึงจุดแข็งจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าจะเลือกร่างใดเป็น “ร่างหลัก” เพื่อเดินหน้าต่อในขั้นตอนกรรมาธิการร่วม
 

“ดร.ณัฏฐ์” ชี้อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่แตะต้อง “ข้อห้าม” ตามมาตรา 255 และต้องผ่านประชามติในหมวด 1 และหมวด 2 ตามมาตรา 256(8) เพราะอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของ “ประชาชน” ไม่ใช่ของพรรคการเมือง

ดร.ณัฐวุฒิ มองว่าการอภิปรายในสภายังขาดเนื้อหาที่ตอบโจทย์ “ประชาชนได้อะไร” เพราะแทบไม่มีผู้ใดเสนอเหตุผลว่าเหตุใดรัฐธรรมนูญ 2560 จึง “ไม่ดี” หรือรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะช่วยยกระดับประชาธิปไตยและแก้ปัญหาทุจริตได้อย่างไร ขณะที่ประชาชนยังเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

คณิตศาสตร์ทางการเมือง: เกมเสียงที่เปราะบาง

องค์ประกอบรัฐสภามี 692 เสียง (ส.ส. 492 + ส.ว. 200)

การผ่านวาระแรกต้องใช้เสียงเกินครึ่ง หรือ 347 เสียง

ฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างน้อยมีเพียง 146 เสียง

ส.ว. ที่คาดว่าจะสนับสนุนราว 160 เสียง รวมเป็น 306 เสียง ยังไม่ถึงเกณฑ์

หากพรรคประชาชนไม่ร่วมโหวต เสี่ยงคว่ำร่างได้ทันที เพราะทั้งวาระ 1–3 ต้องใช้เสียงข้างมาก และวาระ 1 กับวาระ 3 ต้องมีเสียง ส.ว. อย่างน้อยหนึ่งในสาม (67 คน)

เกมประนีประนอม: สองร่าง สองผลประโยชน์

หากร่างพรรคประชาชนและร่างพรรคภูมิใจไทยผ่านวาระแรก ทั้งสองร่างจะถูกรวมเข้าสู่กรรมาธิการร่วมของสองสภา เพื่อบูรณาการให้เหลือเพียงร่างเดียว ถือเป็น “ช่องทางประนีประนอมทางการเมือง” ที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ต่อรองปรับเนื้อหาให้สมดุลกัน

แต่หากร่างของพรรคประชาชนไม่ได้ถูกนำมารวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างหลัก โอกาสที่พรรคนี้จะ “ตีรวน” ในวาระ 2 ก็มีสูง เพราะในวาระดังกล่าวต้องใช้เสียงข้างมากของทั้งสองสภา หากเสียงรัฐบาลไม่พอ ร่างก็อาจถูกคว่ำลงได้

บทบาท ส.ว. และเงื่อนไขตุลาการ

แม้ร่างจะผ่านวาระ 3 ได้ แต่ยังต้องพ้นด่านสุดท้ายคือ “ประชามติ” ตามมาตรา 256(8) ซึ่งอยู่ในมือของประชาชน

นอกจากนี้ ยังเปิดช่องให้ ส.ส. หรือ ส.ว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบ ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความภายใน 30 วันว่าร่างดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็น “การเลือกตั้ง ส.ส.ร.” ที่ศาลเคยวินิจฉัยห้ามไว้ หากมีการสอดไส้เนื้อหาลักษณะนี้ อาจทำให้ร่างตกไปได้ทันที

จุดเปลี่ยนในเกมอำนาจ: “ภูมิใจไทย” ถือไพ่เหนือกว่า

แม้รัฐบาลจะเป็นเสียงข้างน้อย แต่พรรคภูมิใจไทยถืออิทธิพลสูงในสภาสูงที่มี ส.ว. ขั้วสีน้ำเงินหนุนหลังจำนวนมาก ทำให้เกมแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้กลายเป็น “มวยคนละหมัด” ระหว่างฝ่ายประชาชน–เพื่อไทย กับฝ่ายรัฐบาล–ภูมิใจไทย การเจรจาในชั้นกรรมาธิการจึงเป็นจุดชี้ชะตาว่าจะหาทางออกร่วมกันได้หรือไม่ ก่อนเข้าสู่การลงมติวาระ 2–3

บทสรุป: ด่านสุดท้ายอยู่ที่ประชาชน

ดร.ณัฏฐ์สรุปว่า แม้เกมในสภาจะเป็นเพียงเวทีต่อรองทางการเมือง แต่ด่านสุดท้ายอยู่ที่ “ประชาชน” ผ่านการออกเสียงประชามติ หากเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมจึงจะถือเป็นอำนาจชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ

ทว่าในเชิงโครงสร้าง “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” ที่สืบเนื่องจากยุค คสช. ยังคงเป็นกรอบจำกัดการเปลี่ยนแปลงที่เข้มข้น และอาจทำให้ความพยายามร่างรัฐธรรมนูญใหม่ครั้งนี้ จบลงด้วย “การเมืองที่แพ้ทางกฎหมาย” อีกครั้ง

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ฟูแล่ม พบ คริสตัล พาเลซ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 7 ธ.ค.68