posttoday

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คืนบัลลังก์ ปชป. ลุ้นภารกิจฟื้นคืนพรรคเก่า

07 ตุลาคม 2568

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คืนสู่เก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แบบไร้คู่แข่ง 18 ต.ค.นี้ ท้าทายภารกิจฟื้นศรัทธา ปฏิรูปพรรค กอบกู้สถานะ “พรรคหลักประชาธิปไตย”อีกครั้ง

KEY

POINTS

  • “อภิสิทธิ์” คืนสังเวียนการเมือง เตรียมเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 10 ของ ปชป. แบบไร้คู่แข่ง
  • “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ปลดล็อกทางการเมือง เปิดทางให้ทีมใหม่ และร่วมโหวตเป็นเอกภาพ
  • โจทย์ใหญ่หลังการเลือกตั้งในพรรค คือการปฏิรูปโครงสร้าง ฟื้นจุดยืน และเรียกศรัทธาคืนจากประชาชน
     

การกลับมาของ “อภิสิทธิ์” และจังหวะฟื้นพรรคเก่า

การประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของไทย
โดยเฉพาะเมื่อชื่อของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรค ถูกเสนอให้กลับมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคอีกครั้ง — คราวนี้แทบจะ “นอนมาแบบไร้คู่แข่ง”

งานประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนที่ 10 จะจัดขึ้นที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ หลังจากเส้นตายการสมัครสมาชิกเพื่อมีสิทธิ์โหวตได้ปิดไปเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ทำให้แน่ชัดว่ากระแสในพรรคมุ่งไปทางเดียว — “อภิสิทธิ์มาแน่”

แต่สิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่าการกลับมา คือ “โจทย์ใหญ่หลังชัยชนะ” — การฟื้นฟูพรรคที่ถูกแรงสั่นสะเทือนจากการเลือกตั้งหลายสมัย และการสูญเสียฐานเสียงดั้งเดิมทั้งในภาคใต้และเมืองหลวง พรรคที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเสาหลักประชาธิปไตย ต้องเผชิญคำถามว่า ยังเหลือจุดยืนใดที่แตกต่างจากพรรคใหม่ๆ ในสนามการเมืองปัจจุบันหรือไม่

การกลับมาของอภิสิทธิ์จึงไม่ใช่แค่ “การเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่” แต่คือ การวางเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อชุบชีวิตประชาธิปัตย์อีกครั้ง ท่ามกลางยุคที่พรรคเก่าถูกท้าทายจากคลื่นการเมืองใหม่ และความนิยมของพรรคคนรุ่นใหม่อย่างก้าวไกลและเพื่อไทย

อภิสิทธิ์เข้าใจดีว่าความนิยมส่วนบุคคลไม่พอจะชนะใจคนทั้งประเทศได้อีกต่อไป สิ่งที่ ปชป. ต้องการคือ “ระบบ” และ “ความชัดเจนทางอุดมการณ์” ที่จะทำให้พรรคกลับมามีตัวตนในใจประชาชน
 

การปลดล็อกภายในและดีลเงียบกับ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”

ก่อนการประกาศกลับมานำพรรค “อภิสิทธิ์” ได้เดินทางไปพบ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคคนก่อน ที่บ้านพักส่วนตัวในปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ — การพูดคุยที่คนในพรรคเรียกว่า “การเคลียร์ใจครั้งสำคัญ”

ผลลัพธ์คือสัญญาณสันติภายในพรรคประชาธิปัตย์ที่เริ่มแตกแยกหลังเลือกตั้งปี 2566 เฉลิมชัยยอมเปิดทางอย่างชัดเจน โดยประกาศ “ไม่ไปต่อ” ในตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค และยืนยันจะไม่ขัดขวางการกลับมาของอภิสิทธิ์ แต่ยังอยู่กับพรรคในฐานะที่ปรึกษาและผู้ใหญ่ที่ให้คำแนะนำ

ดีลนี้ถือเป็น “ทางออกเชิงสัญลักษณ์” ที่ช่วยปลดล็อกความขัดแย้งภายในพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้เคยปะทุหนักในประเด็น สัดส่วนการโหวตหัวหน้าพรรค (70:30) ระหว่างกลุ่ม ส.ส. และกรรมการสาขา

แต่หลังการพูดคุย เฉลิมชัยได้ช่วยปรับสมดุลมาเป็น 40:40:20 ทำให้เสียงทั้งสามกลุ่ม — ส.ส., กรรมการบริหาร, และกรรมการสาขา — กลับมาเป็นเอกภาพ

“เฉลิมชัยคือกุญแจสำคัญในการปลดล็อก ปชป.” แหล่งข่าวในพรรคกล่าว พร้อมระบุว่า ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมากว่าสองปีได้ถูกคลี่คลายลงด้วย “ข้อตกลงแห่งศรัทธา” ระหว่างสองผู้นำรุ่นเก่า

ในเวลาเดียวกัน กระแสภายในพรรคเริ่มมองหา “ทีมยุคใหม่” ที่จะทำงานคู่กับอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะตำแหน่ง เลขาธิการพรรค ซึ่งถือเป็น “คู่คิดคู่เคลื่อน” ของหัวหน้าพรรค

รายชื่อที่ถูกพูดถึงมีตั้งแต่ “นายชอ” จากภาคเหนือ ผู้มีบทบาททางความคิดและโครงสร้างพรรค,“ชัยชนะ เดชเดโช” ที่ขอหันมาดูแลภาคใต้,ไปจนถึงการดึง “มาดามแป้ง” หรือ “มาดามเดียร์” เข้ามาเพิ่มภาพลักษณ์สมัยใหม่ให้พรรค

“มาดามหนึ่งในสองคนนี้อาจเป็นแคนดิเดตนายกฯ คู่กับอภิสิทธิ์” แหล่งข่าวระบุ เป็นสัญญาณว่าพรรคเก่ากำลังใช้สูตรใหม่ผสานการเมืองกับ Soft Power และความนิยมของสตรีในสังคมไทยยุคปัจจุบัน
 

ฟื้นจุดยืน ปรับพรรค และเรียกศรัทธาคืน

หลังประกาศกลับมา มีปรากฏการณ์ที่คนในพรรคเรียกว่า “เลือดไหลกลับ” — อดีตแกนนำและสมาชิกพรรคทยอยกลับมาสมัครเป็นสมาชิกอีกครั้ง อาทิ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ , คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์, หมอบัญญัติ เจตนจันทร์, นิพนธ์ ธาราภูมิ, อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์,ทศพร เทพบุตร,อัญชลี วานิช เทพบุตรและสาธิต ปิตุเตชะ

การกลับมาของกลุ่มอดีตสส. เหล่านี้ แม้ไม่จำเป็นต้องลงสนามเลือกตั้ง แต่สร้างสัญญาณชัดเจนว่า พรรคกำลัง “กลับมามีชีวิต” และกำลังสร้างบรรยากาศแห่งความเป็น “ครอบครัวประชาธิปัตย์” อีกครั้ง

ชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคและประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในเชิงให้กำลังใจว่า“อภิสิทธิ์รู้ดีว่าใครเหมาะสมจะเป็นเลขาธิการ และการที่สื่อเสนอชื่อมาดามต่างๆ ถือเป็นผลดีต่อพรรค เพราะแสดงถึงความเปิดกว้างของคนรุ่นใหม่”

อภิสิทธิ์เองก็ส่งสัญญาณว่าการฟื้นพรรคครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การ “จัดทีมใหม่” แต่เป็นการ “ยกเครื่องทั้งระบบ” โดยมีแนวทางหลัก 4 ประการ

  1. ยืนหยัดต่อต้านอำนาจนอกระบบ และการรัฐประหารทุกรูปแบบ
  2. เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ
  3. ทำการเมืองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่เพื่อพวกพ้อง
  4. ฟื้นพรรคด้วยแนวคิด “กระแสแทนกระสุน” คือใช้แนวคิดและอุดมการณ์สู้กับทุนและอิทธิพลทางการเมือง

แต่ในสภาพการเมืองไทยยุคใหม่ ที่ “กระสุน” หมายถึงทั้งงบประมาณ อำนาจรัฐ และทุนทางการเมือง อุดมการณ์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การฟื้นพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องเดินบนเส้นทางใหม่ที่ผสมผสาน “อุดมการณ์ + กลยุทธ์”

โจทย์ใหญ่ของอภิสิทธิ์หลัง 18 ตุลาคมจึงไม่ใช่แค่ การชนะใจสมาชิกพรรค แต่คือ การชนะใจประชาชนทั้งประเทศ ที่กำลังมองหาความจริงใจทางการเมือง และความหวังใหม่ในยุคที่พรรคเก่าเกือบถูกลืม

การกลับมาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คือการเดิมพันครั้งสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ในการทวงคืนศรัทธา ผ่านการฟื้นจุดยืน ปรับยุทธศาสตร์ และเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสานต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยอีกครั้ง

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ฟูแล่ม พบ คริสตัล พาเลซ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 7 ธ.ค.68